ธปท.เผยไตรมาส3ปี68 กำไรแบงก์หดตัว 6.9% สินเชื่อยังติดลบ 1.0%

18 พ.ย. 2568 | 11:20 น.
อัปเดตล่าสุด :23 พ.ย. 2568 | 02:49 น.

แบงก์ชาติจับตาเอ็นพีแอลSME ระยะข้างหน้า เหตุความเสี่ยงด้านเครดิตสูง เผยไตรมาส3ปี68 สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์รวมเครือติดลบ 1.0%จากสินเชื่อSME หดตัว 4.0%ความสามารถทำกำไรลดลง

นายสมชาย เลิศลาภวศิน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภาพรวมธนาคารพาณิชย์ ไตรมาส 3 ปี 2568 ระบบธนาคารพาณิชย์มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ โดยเงินกองทุนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น21.3%จากไตรมาสก่อนที่ 21.0%   สภาพคล่องทรงตัว(LCR) อยู่ในระดับสูง 204% เงินสำรองเทียบเอ็นพีแอล( NPL Coverage  Ratio)ยังเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 179.8%

ด้านภาพรวมของแหล่งระดมทุนหดตัวเล็กน้อยทั้งสินเชื่อและตราสารหนี้ โดยนักลงทุนยังมีความระมัดระวังในกลุ่มHigh Yieldที่มีความเสี่ยงสูง เห็นได้จากสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์รวมเครือหดตัวที่  -1.0%เทียบกับตราสารหนี้หดตัวน้อยลงจากไตรมาสก่อน เดิมอยู่ที่ -3.3%  เหลือ- 1.5% เป็นผลจากธุรกิจสาธารณูปโภคออกหุ้นกู้

“การสินเชื่อหดตัวของสินเชื่อเป็นการต่อเนื่อง 5ไตรมาส ติดต่อกัน แต่อัตราการหดตัวลงไม่ลึกเหมือนวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์รอบที่ปี2552 การหดตัวของสินเชื่อลึก 3% แต่ฟื้นตัวกลับมาเร็วประมาณ 2ไตรมาส คราวนี้อาจจะไม่ได้ลงลึกแต่อาจจะลากยาว”

ทั้งนี้ ไส้ในแต่กลุ่มหรือประเภทสินเชื่อมีพัฒนาการที่แตกต่างกันแต่ละสินเชื่อ ภาพรวมทั้งสินเชื่อธุรกิจหดตัวจาก -0.3% ขยับเป็น -0.6%ขณะที่สินเชื่ออุปโภคบริโภคจาก -2.1% เป็น     -1.7% สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ขยายตัวบ้างจาก 0.5% เป็น 0.7%  แต่สินเชื่อSMEหดตัวต่อเนื่อง -4.0%จาก 3.3% เนื่องจากความเสี่ยงด้านเครดิตสูงและมีประเด็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องปรับเพิ่มความสามารถในการแข่งขันระยะยาว

ธปท.เผยไตรมาส3ปี68 กำไรแบงก์หดตัว 6.9% สินเชื่อยังติดลบ 1.0%

 

สำหรับสินเชื่ออุปโภคบริโภคดีขึ้นเล็กน้อย  1.7% เป็น  2.1% โดยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์(ที่อยู่อาศัย)หดตัวน้อยลง จากที่-0.4% เหลือเป็น -0.1%ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเห็นสินเชื่อที่ปล่อยใหม่เพิ่มขึ้นทั้งแนวราบและแนวสูง   

ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากผ่อนคลายมาตรการLTV ในช่วงที่ผ่านมา และการลดอัตราค่าธรรมเนียมการโอน/ธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง รวมถึงอัตราดอกเบี้ยขาลงและมีการแข่งขันค่อนข้างสูงในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่สินเชื่อเช่าซื้อเริ่มเห็นการหดตัวน้อยลงจาก-10.3% เป็น -9.8%

ด้านคุณภาพสินเชื่อ NPL (Stage 3 ) ในภาพรวมค่อนข้างทรงตัว จาก New NPL ที่ชะลอลงเป็นสำคัญ ส่งผลให้ยอดคงค้างสินเชื่อ Stage 3 ไตรมาส 3 ปี 2568 ปรับลดลงมาอยู่ที่ 544.0 พันล้านบาท ทั้งนี้ สัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวม ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.94% ส่วนหนึ่งจากผลของฐานสินเชื่อที่หดตัว

นายสมชายระบุว่า สัญญานหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPLs) สัดส่วนเพิ่มขึ้น แต่พบว่าภาพรวมเอ็นพีแอลส่วนที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสสามปีนี้ลดลง ถ้าเทียบกับไตรมาสอื่นๆ เพราะค่าเฉลี่ยของไตรมาสก่อนหน้าไหลเข้าประมาณ 1.01แสนล้านบาท ขณะที่ไตรมาสปีนี้อัตราการไหลของเอ็นพีแอลที่เข้าใหม่อยู่ที่ประมาณ  99,000ล้านบาท

อีกทั้งความสามารถของสถาบันการเงินในการบริหารจัดการหนี้อยู่ในระดับทรงตัว แต่ต้องติดตามเอ็นพีแอลของเอสเอ็มอีต่อเพราะสัดส่วนของเอ็นพีแอลที่ยังสูง สำหรับเอ็นพีแอลของรายใหญ่ที่เพิ่มขึ้นนั้น จริงๆมาจากฐานต่ำหรือไม่เติบโต เพราะธุรกิจขนาดใหญ่ไม่มีความต้องการใช้สินเชื่อ มีแนวโน้มจ่ายคืนหนี้และความต้องการลงทุนไม่เด่นชัด

-Stage2ยังขยับเพิ่มแตะ 7.24%

สำหรับสินเชื่อ Stage 2  ปรับเพิ่มขึ้น ตามการจัดชั้นเชิงคุณภาพจากปัจจัยเฉพาะรายของลูกหนี้ธุรกิจขนาดใหญ่ และส่วนหนึ่งจากการปรับชั้นดีขึ้นของ NPL ส่งผลให้สัดส่วน stage 2 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 7.24%อย่างไรก็ดี ธนาคารพาณิชย์ยังให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งบริหารจัดการคุณภาพหนี้ 

สำหรับผลการดำเนินงานปรับลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิ 6.6หมื่นล้านบาทลดลด 6.9%จาก 7.1หมื่นล้านบาทช่วงเดียวกันปีก่อน จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลง ตามการหดตัวของสินเชื่อ และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้กับลูกหนี้ ทั้งจากการปรับลดโดยธนาคารและตามมาตรการคุณสู้ เราช่วย  รวมทั้งการปรับลดลงของอัตราดอกเบี้ย "ขาลง"

“แนวโน้มกำไรขึ้นอยู่สถาบันการเงินจะบริหารต้นทุนได้ดีแค่ไหน เพราะรายได้ดอกเบี้ยยังมีแรงกดดันจากดอกเบี้ยขาลง และสถาบันการเงินมีการลงทุนด้านไอทีค่อนข้างมาในช่วง 3-5ปีที่ผ่านมา และต้นทุนค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งต้นปีหน้าน่าจะเห็นภาพชัดขึ้น”

อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามภาวะการเงินที่ยังตึงตัวและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ SMEs และครัวเรือนท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังชะลอลงจากผลกระทบของมาตรการภาษีสหรัฐฯ และรายได้ที่ฟื้นตัวช้า

ทั้งนี้ ความช่วยเหลือภายใต้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” มีส่วนช่วยบรรเทาภาระหนี้ของ SMEs และครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ไตรมาส 2 ปี 2568 ปรับลดลงจากไตรมาสก่อน จากสินเชื่อภาคครัวเรือนที่ขยายตัวชะลอลงเป็นสำคัญ

-ชู “ปิดหนี้ไวไปต่อได้”ช่วยลูกหนี้บัตรเครดิตและพีโลน 

อย่างไรก็ดี ชุดมาตรการใหม่ “ปิดหนี้ไวไปต่อได้”เป็นการมุ่งช่วยลูกหนี้กลุ่มบัตรเครดิตและพีโลน(สินเชื่อไม่มีหลักประกัน) ซึ่งมีคนเปราะบางจำนวนมากถึง 60%

จึงอยากเห็นลูกหนี้เข้าร่วมโครงการนี้ เพื่อปิดหนี้ได้เร็วขี้น  ถ้าจ่ายหนี้ได้ตามเงื่อนไขNCB Code แสดงศักยภาพในการปิดหนี้ได้ดีกว่าลูกหนี้กลุ่มที่ไม่มาปิดรวมถึงอนาคตในการเข้าถึงสินเชื่อ เพราะโครงการนี้จะเป็นต้นทุนที่ดี

ขณะที่ภาคธุรกิจมีสัดส่วนหนี้สินต่อ GDP ลดลงตามการก่อหนี้ที่ลดลงเป็นสำคัญ ส่วนแนวโน้มหนี้ครัวเรือนในไตรมาสถัดไป (ไตรมาส4) นั้น  หากคำนวณจากฐานสินเชื่อที่มีอยู่และจีดีพีไตรมาส3ที่ขยายตัว 1.2% เบื้องต้นธปท.ประมาณการสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีจะปรับลดลงอยู่ที่86.6%จาก 86.8% ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา

ด้านความสามารถในการทำกำไรลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนเกือบทุกประเภทธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตามภาวะตลาดที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัว