กูรูชี้สินเชื่อไตรมาส 4 ฟื้นทุกภาคส่วน หนุนแบงก์โตต่อเนื่อง ชู SCB–KTB เด่น

13 พ.ย. 2568 | 01:00 น.

ความต้องการสินเชื่อธุรกิจ–ครัวเรือนกลับมาคึกคัก รับสัญญาณเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว โบรกมองแนวโน้มปี 69–70 ยัง ทรงตัวแต่มั่นคง ชู SCB–KTB เด่นสุดในกลุ่ม รับปันผลสูง

KEY

POINTS

  • นักวิเคราะห์คาดการณ์สินเชื่อไตรมาส 4/2568 มีแนวโน้มฟื้นตัวและขยายตัวสูงขึ้นในทุกภาคส่วน ทั้งภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน
  • การฟื้นตัวของสินเชื่อจะช่วยหนุนการเติบโตของกลุ่มธนาคาร แม้นักวิเคราะห์จะยังคงน้ำหนักการลงทุนเป็นกลาง (Neutral) แต่ชี้ว่ากลุ่มธนาคารยังให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง
  • โบรกเกอร์เลือก SCB และ KTB เป็นหุ้นเด่น (Top pick) ของกลุ่ม เนื่องจากคาดว่าจะมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับสูง

ต้องยอมรับว่านับตั้งแต่เปิดต้นปี 2568 เศรษฐกิจไทยเผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากปัจจัยภายนอกประเทศและภายในประเทศเอง แม้ที่ผ่านมารัฐบาลชุดก่อนจะพยายามดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ออกมาแต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผลนัก

โดยตัวเลขหนี้ครัวเรือนไทยยังปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง กำลังการจับจ่ายใช้สอยในประเทศลดลง ประกอบกับภาคการท่องเที่ยวไทยก็ดูซบเซาลง กระทบให้แนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทย ได้ถูกปรับลดลงเป็น 'เชิงลบ' (Negative)

สาเหตุหลักของการปรับลดแนวโน้ม อาทิ เศรษฐกิจที่การเติบโตที่ชะลอตัวกว่าที่คาดการณ์ไว้ การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่ยังไม่เต็มที่ และการส่งออกที่ซบเซา, ด้านการคลัง หนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง และความเสี่ยงจากขาดดุลการคลัง และด้านการเมือง ที่ยังความไม่แน่นอนซึ่งอาจกระทบต่อการดำเนินนโยบายและการลงทุน

แต่อย่างไรก็ดี หลังจากรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการ 'คนละครึ่งพลัส' ที่ทำให้การจับจ่ายใช้สอยกลับมาคึกคักมากขึ้นในช่วงปลายปี 2568 นี้

นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI เปิดเผยว่า จากกระเด็นที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานผลสำรวจแนวโน้มสินเชื่อในไตรมาส 4/2568 ชี้ว่า สินเชื่อภาคธุรกิจน่าจะขยายตัวสูงขึ้นจากไตรมาสก่อน

โดยความต้องการสินเชื่อทั้งในธุรกิจขนาดใหญ่ และธุรกิจรายย่อย (SMEs) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ผลเนื่องจากธุรกิจขนาดใหญ่ต้องการสินเชื่อเพื่อการลงทุน ส่วน SME ต้องการสินเชื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ

นอกจากนี้ ความต้องการสินเชื่อภาคครัวเรือนจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน นำโดยสินเชื่อเช่าซื้อรถจากมาตรการส่งเสริมการขายของผู้ผลิตรถยนต์ และการจัดงาน Thailand International Motor Expo ในเดือนธันวาคม 2568 ขณะที่ความต้องการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อบัตรเครดิตในไตรมาส 4/2568 น่าจะทรงตัวจากไตรมาสก่อน

แม้ความต้องการสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นจะทำให้กลุ่มธนาคารมีสินเชื่อขยายตัวสูงขึ้น แต่ฝ่ายวิเคราะห์ฯ ยังคงประมาณการอัตราการเติบโตของสินเชื่อในปี 2568/2569/2570 อยู่ที่ -3.3%/+1.1%/+2.0% ทั้งนี้ สินเชื่อรวมช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ลดลง 3% จากสิ้นปี 2567

ทั้งนี้ จากการสำรวจแสดงให้เห็นว่าสถาบันการเงินน่าจะมีมาตรฐานการให้สินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้นสำหรับลูกค้า SME ในไตรมาส 4/2568 แม้จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ไตรมาส 4/2567 โดยมองว่าผู้ให้บริการสินเชื่อระมัดระวังการปล่อยเงินกู้ให้ลูกค้า SME เนื่องจากผู้ประกอบการหลายรายมีความเปราะบางในช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัวต่ำ

โดยธนาคารเชื่อว่าคุณภาพสินทรัพย์ของลูกค้าธุรกิจขนาด ใหญ่จะดีขึ้นจากไตรมาสก่อน หลังมีต้นทุนการกู้ยืมลดลง นอกจากนี้ ผลสำรวจยังชี้ว่ามาตรฐานการให้สินเชื่อภาคครัวเรือนในไตรมาส 4/2568 จะใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า

ขณะที่ประเด็น กระทรวงการคลังและธปท. เตรียมเปิดตัวโครงการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนด้วยการซื้อหนี้ NPL ของสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกันที่มีวงเงินไม่เกิน 100,000 บาท/ราย จากธนาคารพาณิชย์, ธนาคารรัฐและบริษัทลูกของธนาคารนั้น กระทรวงการคลังตั้งเป้าให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ซื้อหนี้ NPL รวม 1.9 ล้านรายและกำหนดงบประมาณในเฟสแรกไว้ 4.4 หมื่นล้านบาท

เชื่อว่าโครงการน่าจะเสร็จสมบูรณ์ในครึ่งปีแรก 2569 โดยมีมุมมองเชิงบวกว่าโครงการนี้จะช่วยลด NPL ในงบดุลของธนาคารและเปิดโอกาสให้ลูกหนี้ที่ประสบปัญหาสามารถล้างประวัติการผิดนัดชำระหนี้ในระบบของเครดิตบูโรได้

ชู SCB KTB เด่นสุด

จากปัจจัยที่กล่าวไปข้างต้น ทางฝ่ายยังแนะนำให้คงน้ำหนักการลงทุน (Neutral) ในกลุ่มธนาคารไทย เพราะมองว่ากลุ่มนี้ขาดปัจจัยหนุนในระยะสั้น แต่ยังมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง ปัจจุบันกลุ่มธนาคารซื้อขายอยู่ที่ P/BV 0.68 เท่าในปี 2569 หรือสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตห้าปีที่ 0.64 เล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายเลือก SCB และ KTB เป็นหุ้น Top pick ของกลุ่มนี้ เนื่องจากธนาคารทั้งสองแห่งน่าจะมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงที่ 6.3 - 9.6% ต่อปีในปี 2569 - 2570 ทั้งนี้ กลุ่มธนาคารจะมี downside risk หาก NPL เพิ่มสูงขึ้นและธปท. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม

สำหรับ upside risk มองว่าจะมาจากการที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาไทยเพิ่มมากขึ้น ช่วยกระตุ้นการบริโภค รวมถึงภาษีสหรัฐที่ต่ำกว่าคาดและการเปิดประมูลโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล