KEY
POINTS
ธุรกิจสแกมเมอร์และธุรกิจสีเทาขยายตัวอย่างรวดเร็ว แทรกซึมทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจและสังคม สร้างความเสียหายรวมกว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นประมาณ 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) กลายเป็นปัจจัยฉุดรั้งความเชื่อมั่นของผู้บริโภค นักลงทุน และสถาบันการเงิน
รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี จึงประกาศให้ “การปราบปรามมิจฉาชีพออนไลน์” เป็นวาระแห่งชาติ โดยมอบหมายให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติคดีพิเศษ บูรณาการร่วมกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อดำเนินการอย่างเข้มข้นในการตัดเส้นทางการเงินผิดกฎหมาย ปิดบัญชีม้า และสกัดฐานปฏิบัติการข้ามชาติในพื้นที่ชายแดนกัมพูชา–เมียนมา ซึ่งกลายเป็นศูนย์บัญชาการของเครือข่ายมิจฉาชีพระดับภูมิภาค
รายงาน “State of Scams in Thailand 2025” โดยองค์กรพันธมิตรต่อต้านการฉ้อโกงโลก (Global Anti-Scam Alliance: GASA) เปิดเผยว่า คนไทยกว่า 72% ต้องเผชิญความพยายามหลอกลวงเป็นประจำ เฉลี่ยคนละ 172 ครั้งต่อปี หรือเกือบทุก 2 วันต่อครั้ง และกว่า 60% ของผู้ใหญ่ตกเป็นเหยื่อสำเร็จภายในปีที่ผ่านมา
ภัยไซเบอร์ยุคใหม่ไม่ได้อาศัยเพียงข้อความหรือโทรศัพท์เหมือนในอดีต แต่มิจฉาชีพใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Deepfake เพื่อสร้างภาพและเสียงเลียนแบบบุคคลจริง ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ พนักงานธนาคาร หรือเพื่อนใกล้ชิด ทำให้ผู้รับข้อความเชื่อว่ากำลังติดต่อกับหน่วยงานหรือบุคคลจริง กลโกงลักษณะนี้กำลังแพร่ระบาดในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและแอปแชต ซึ่งกลายเป็นพื้นที่หลักของการโจมตีทางจิตวิทยาและข้อมูล แม้แต่คนรุ่นใหม่ที่มีความรู้เทคโนโลยีก็ยังตกเป็นเหยื่อได้โดยไม่รู้ตัว
รูปแบบที่สร้างความเสียหายสูงสุดคือ “หลอกลงทุน” ครองสัดส่วนกว่า 66% ของคดีทั้งหมด รองลงมาคือ “หลอกซื้อสินค้าออนไลน์” 63% และ “หลอกสมัครงาน” 53% จุดร่วมของทุกกรณีคือ “ความสมจริง” และ “ความน่าเชื่อถือ” ของข้อความที่ได้รับ การหลอกลวงกว่า 73% เกิดผ่านแพลตฟอร์มส่งข้อความโดยตรง เช่น โทรศัพท์ Facebook SMS Gmail และ TikTok ซึ่งเป็นช่องทางที่คนไทยใช้ติดต่อมากที่สุด
เด็กและเยาวชนก็กลายเป็นกลุ่มเสี่ยงใหม่ โดยกว่า 27% ของครอบครัวไทยยืนยันว่าบุตรหลานอายุ 7–17 ปี เคยถูกหลอกในเกมหรือแอปเรียนรู้ออนไลน์ สะท้อนว่าภัยไซเบอร์ได้แทรกซึมทุกช่วงวัยและทุกพื้นที่
สิ่งที่น่าตกใจคือปรากฏการณ์ “ความมั่นใจย้อนแย้ง” (Confidence Paradox) ที่คนไทยกว่า 76% เชื่อว่าตนสามารถแยกแยะมิจฉาชีพได้ แต่ 66% ของกลุ่มนี้กลับตกเป็นเหยื่อจริง แสดงให้เห็นว่าความรู้เท่าทันของสังคมยังไม่เท่าทันวิวัฒนาการของกลโกงที่ซับซ้อนขึ้นทุกวัน
แม้ผู้เสียหายกว่า 74% จะพยายามรายงานเหตุไปยังธนาคารหรือผู้ให้บริการทางการเงิน แต่มีเพียง 29% ที่ได้รับเงินคืนบางส่วน กระบวนการติดตามยังล่าช้าและขาดความชัดเจน ขณะที่อีก 41% ของผู้ที่แจ้งเหตุไม่ได้รับการตอบสนองใด ๆ ปัญหานี้สะท้อนถึงความไม่พร้อมของระบบประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐและเอกชน ที่ยังไม่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้อย่างครบวงจร
ช่องทางโอนเงินผ่านธนาคารแบบดั้งเดิมยังเป็นเครื่องมือหลักของมิจฉาชีพ คิดเป็น 73% ของธุรกรรมหลอกลวงทั้งหมด ส่วน e-Wallet มีเพียง 21% สะท้อนว่าระบบธนาคารไทยยังขาดมาตรการยืนยันชื่อผู้รับเงิน (Confirmation of Payee) ซึ่งเป็นมาตรฐานในหลายประเทศ ผู้เชี่ยวชาญเสนอให้ธนาคารพาณิชย์พัฒนาระบบแจ้งเตือนธุรกรรมเสี่ยงและระบบตรวจสอบชื่อบัญชีแบบเรียลไทม์ เพื่อหยุดเส้นทางเงินก่อนถึงมือมิจฉาชีพ
ในอีกด้านหนึ่ง ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลลดต่ำลงอย่างน่าตกใจ คนไทยถึง 97% ไม่ไว้วางใจองค์กรที่เก็บข้อมูลของตน และ 98% ต้องการให้บริษัทเปิดเผยว่ามีการแบ่งปันข้อมูลกับใครบ้าง ผู้บริโภคยอมรับการตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์หรือการยืนยันซิมเพื่อป้องกันการปลอมตัว แต่กลับไม่มั่นใจต่อการจัดเก็บข้อมูลโดยแพลตฟอร์มแชตและโซเชียลมีเดีย ความไม่ไว้วางใจนี้ส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมทางเศรษฐกิจ โดย 81% ของผู้บริโภคระบุว่าพร้อมเปลี่ยนไปใช้บริการทางการเงินที่ปลอดภัยและโปร่งใสกว่าทันที หากมีระบบยืนยันตัวตนก่อนโอนเงิน แสดงให้เห็นว่าความปลอดภัยกำลังกลายเป็น “ปัจจัยแข่งขันใหม่” ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
ธปท.ย้ำไม่หนุนธุรกรรมการเงินสีเทา
นายปิติ ดิษยทัต รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ธปท. กล่าวถึงกระแสข่าวความเชื่อมโยงของสถาบันการเงินไทยกับเงินเทา ว่า ธปท. ยืนยันว่าไม่มีนโยบายสนับสนุนสถาบันการเงินทำธุรกรรม หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสีเทาอยู่แล้ว อีกทั้งในเรื่องของปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ในสหรัฐฯ สหภาพยุโรป รวมทั้งตะวันออกกลาง ต่างก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ซึ่งจะต้องเป็นความร่วมมือกันของหลายหน่วยงานในการป้องกันและแก้ปัญหา
“เรื่องนี้ มันใหญ่เกินกว่าที่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งจะดูแลได้ ต้องอาศัยความร่วมมือกันทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เราเด็ดขาดไม่อยากให้มีเรื่องสีเทาในสถาบันการเงิน ซึ่งจะต้องดูแลควบคู่ไปกับหน่วยงานอื่น”
ภัยไซเบอร์ที่รุนแรงขึ้นยังส่งผลโดยตรงต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวระดับโลก นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกกิตติมศักดิ์สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ระบุว่า หลังรัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชาอย่างเข้มงวด และออกประกาศเตือนพลเมืองให้ระวังการเดินทางในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กระแสความกังวลได้ลามถึงไทย แม้ประเทศไทยจะไม่ได้เป็นต้นเหตุของปัญหา แต่ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านและจุดต่อเครื่องหลัก ภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยของไทยได้รับผลกระทบทันที โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และจีน ที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยสูงสุด
เขาระบุว่า ไทยต้องเร่งปรับกลยุทธ์การสื่อสารของภาครัฐให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ เน้นการสื่อสารเชิงรุกในโลกออนไลน์ พร้อมแสดงความโปร่งใสของมาตรการด้านความปลอดภัย “อย่ากลัวที่จะพูดถึงข่าวลบ เพราะความเชื่อมั่นจะกลับมาได้ก็ต่อเมื่อรัฐแสดงให้เห็นว่ากำลังแก้ไขจริง ไม่ใช่ปิดข่าวหรือพูดแต่เรื่องดี ๆ” นายศิษฎิวัชรกล่าว
สแกมเมอร์กระทบเชื่อมั่นท่องเที่ยวไทย
ด้านนายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว เห็นว่า ไทยควรยกระดับบทบาทผู้นำด้านความปลอดภัยในภูมิภาค CLMV โดยเสนอให้รัฐบาลจัดตั้ง “Tourist Safety ASEAN Initiative” เพื่อสร้างระบบความร่วมมือด้านความปลอดภัยนักท่องเที่ยวในภูมิภาค แลกเปลี่ยนข้อมูลกับประเทศต้นทาง เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และจีน จัดทำเอกสารรับรอง “Tourist Safety Acknowledgement” สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต่อเครื่องจากไทย และตั้งศูนย์ข้อมูล “Safe ASEAN Travel Desk” เพื่อเป็นศูนย์กลางข้อมูลด้านความปลอดภัยระดับอาเซียน
ก่อนหน้านี้ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ และอัยการเขตตะวันออกแห่งนิวยอร์กได้ยื่นฟ้องขอริบทรัพย์สินมูลค่า 127,271 บิตคอยน์ หรือราว 4.87 แสนล้านบาท ซึ่งเชื่อมโยงกับขบวนการฟอกเงินของกลุ่ม Prince Holding Group ในกัมพูชา โดยมีเฉิน จื้อ หรือวินเซนต์ สัญชาติอังกฤษ–กัมพูชา เป็นผู้ก่อตั้งและประธานกลุ่มธุรกิจพรินซ์ คดีนี้ถือเป็นการยึดทรัพย์คริปโตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก และมีส่วนเชื่อมโยงกับรูปแบบการหลอกลวง “Pig Butchering” หรือการหลอกผ่านความสัมพันธ์ออนไลน์เพื่อชักชวนเหยื่อให้ลงทุนในคริปโต
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเท็กซัสแห่งออสติน ระบุว่าขบวนการดังกล่าวใช้คริปโตเคอร์เรนซีเป็นช่องทางฟอกเงินและสนับสนุนการค้ามนุษย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มูลค่าความเสียหายทั่วโลกสูงถึง 28,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี หรือประมาณ 9 แสนล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเชื่อมโยงกับธุรกรรมในภูมิภาคอาเซียนรวมถึงประเทศไทย
ปรากฏการณ์ทั้งหมดนี้กำลังตอกย้ำว่า วิกฤตสแกมเมอร์ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาอาชญากรรมออนไลน์อีกต่อไป แต่คือ “ปัญหาเศรษฐกิจมหภาค” ที่กระทบต่อความมั่นคงทางการเงิน ภาพลักษณ์ประเทศ และความเชื่อมั่นของประชาชนในโลกดิจิทัลที่เต็มไปด้วยกับดักอาชญากรรมซ่อนรูป