สภาพัฒน์ เตือนรัฐบาล ทยอยจ่ายหนี้พอกหางหมูแบงก์รัฐ ทำโครงการเท่าที่จำเป็น

02 ต.ค. 2568 | 06:11 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ต.ค. 2568 | 08:24 น.

สภาพัฒน์ เตือนรัฐบาล ทยอยจ่ายหนี้ให้แบงก์รัฐ หลังครม.จัดงบกลางก้อนใหญ่ 3.6 หมื่นล้านบาทคืนไปแล้วส่วนหนึ่ง แจ้งหากต้องการทำโครงการตามมาตรา 28 ต่อ ควรอนุมัติเท่าที่จำเป็นรับวิกฤตข้างหน้า

KEY

POINTS

  • สภาพัฒน์ฯ เสนอให้รัฐบาลทยอยชำระหนี้คงค้างที่เกิดจากโครงการในอดีตให้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ
  • แนะให้การดำเนินโครงการใหม่ในอนาคตควรพิจารณาอนุมัติเท่าที่จำเป็น เพื่อรักษาพื้นที่ทางการคลังไว้รองรับความไม่แน่นอน
  • ข้อเสนอดังกล่าวเกิดขึ้นหลัง ครม. อนุมัติงบกลางปี 2568 กว่า 3.5 หมื่นล้านบาท เพื่อชำระหนี้ที่รัฐบาลค้างจ่ายให้แก่ ธ.ก.ส.

หลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่เหลืออยู่เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 35,960 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลดยอดลูกหนี้รอการชดเชยของรัฐบาลให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยเบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่นนั้น

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ระบุว่า สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เสนอความเห็นในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขอรับจัดสรร งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นของกระทรวงการคลัง 35,960 ล้านบาท ครั้งนี้ โดยระบุว่า 

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พิจารณาแล้ว มีความเห็นว่า หากได้พิจารณาและดำเนินการตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2562 และกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วนแล้ว 

ทั้งนี้เป็นการสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาให้ความเห็นชอบการขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวนเงินทั้งสิ้น 35,960 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลดยอดลูกหนี้รอการชดเชยของรัฐบาลให้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ 

อย่างไรก็ดี สศช. มีความเห็นเพิ่มเติมว่า รัฐบาลควรพิจารณาทยอยชำระยอดลูกหนี้รอการชดเชยให้แก่สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ได้ดำเนินโครงการหรือมาตรการของรัฐบาลต่าง ๆ ไปแล้ว 

นอกจากนี้ การดำเนินโครงการตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ในระยะต่อไป ควรพิจารณาอนุมัติเท่าที่จำเป็นและสอดคล้องกับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจและการคลัง เพื่อให้ภาครัฐมีพื้นที่ทางการคลังเพียงพอสำหรับการรองรับสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในระยะต่อไป
 

สำหรับการขอรับจัดสรรงบกลางฯ ปี2568 วงเงิน 35,960 ล้านบาท ครั้งนี้ กระทรวงการคลัง แจ้งเหตุผลความจำเป็นว่า การดำเนินการดังกล่าวจะทำให้ ธ.ก.ส. มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นและสามารถมีเงินหมุนเวียนในการให้ความช่วยเหลือประชาชนและเกษตรกรที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจต่อไป

โดยที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ ประกอบด้วย 1.โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี 2554/55 2.โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี 2555/56 3.โครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง พ.ศ. 2561 – 2562 และ 4.มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าวปีการผลิต 2560/61 ด้านการตลาด 

การดำเนินโครงการทั้งหมด พบว่า ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2568 ธ.ก.ส. มียอดลูกหนี้รอการชดเชยของรัฐบาลคงเหลือจากการดำเนินการทั้ง 4 โครงการดังกล่าว เป็นจำนวนเงินรวม 40,421 ล้านบาท 

ธ.ก.ส. จึงมีความเห็นว่า เพื่อเป็นการรองรับโครงการช่วยเหลือตามมาตรการต่าง ๆ ตามนโยบายของรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นต่อไป และไม่ให้เป็นภาระของรัฐบาลในการจัดสรรงบประมาณ ธ.ก.ส. จึงเห็นควรขออนุมัติการจัดสรรงบกลางฯ ปี 2568 จำนวน 35,960 ล้านบาท เพื่อนำไปลดยอดลูกหนี้รอการขดเชยของรัฐบาลสำหรับโครงการดังกล่าวต่อไป