ผ่าจังหวัดยากจนซ้ำซาก 15 ปี น่าห่วงอีสาน-เหนือ จำนวนคนจนสูงสุด

21 ก.ย. 2568 | 09:59 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ก.ย. 2568 | 10:01 น.

ผ่าจังหวัดยากจนซ้ำซาก 15 ปี หลังสศช. เปิดข้อมูลใหม่สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2567 น่าห่วงอีสาน-เหนือ ยังมีจำนวนคนจนสูงที่สุดของประเทศ

รายงานข่าวจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แจ้งว่า สศช.ได้จัดทำ รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2567 โดยระบุข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุด กระจายอยู่ในหลายภูมิภาคทั่วประเทศ ซึ่งข้อมูลที่น่าสนใจยังพบด้วยว่า มีบางจังหวัดที่ติดอยู่ในอันดับความยากจนซ้ำซากยาวนานถึง 15 ปี

สำหรับจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุด 10 อันดับแรก ตามรายงานของ สศช. มีดังนี้ แม่ฮ่องสอน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส อุบลราชธานี สระแก้ว พัทลุง ศรีสะเกษ เชียงราย และตาก 

โดยแม่ฮ่องสอนและปัตตานีอยู่ใน 5 อันดับแรกของจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุดต่อเนื่องกันอย่างน้อย 15 ปี สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความยากจนเรื้อรังในจังหวัดดังกล่าว 

นอกจากนี้ หากพิจารณาจาก 10 จังหวัดแรกที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุดในปี 2567 จะพบว่า 5 ใน 10 จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และตาก มักติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุดในปีอื่น ๆ ด้วย กล่าวคือ มีแนวโน้มเผชิญกับปัญหาความยากจนเรื้อรัง

ข้อมูลของ สศช. ระบุภาพรวมสถานการณ์ความยากจนในระดับจังหวัดแย่ลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดย ส่วนใหญ่มีสัดส่วนคนจนเพิ่มขึ้น มีเพียง 15 จังหวัด ที่มีสัดส่วนคนจนลดลงจากปี 2566 ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ สุพรรณบุรี ตราด พังงา สุราษฎร์ธานี กำแพงเพชร นครราชสีมา เพชรบุรี จันทบุรี เพชรบูรณ์ อุดรธานี กาญจนบุรี อุตรดิตถ์ พิจิตร และยโสธร

จำแนกคนจนรายภาค 

ทั้งนี้ในปี 2567 ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ยังคงเป็นภูมิภาคที่มีสัดส่วนประชากรยากจนสูงที่สุดของประเทศ โดยมีสัดส่วนคนจนอยู่ที่ร้อยละ 9.43 ร้อยละ 6.56 และร้อยละ 5.75 ตามลำดับ 

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสถานการณ์ดังกล่าว ได้แก่ ข้อจำกัดเชิงโครงสร้างด้านเศรษฐกิจและสังคมของแต่ละพื้นที่ รวมถึงผลกระทบอันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติ เพราะภาคใต้ยังคงเผชิญกับสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดน แม้จะมีแนวโน้มคลี่คลายลงบ้างแล้ว แต่ยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการลงทุน ประกอบกับการเกิดอุทกภัยในหลายพื้นที่ 

ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือประสบกับปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่เกษตรกรรมเป็นวงกว้าง ท่ามกลางภาวะค่าครองชีพที่สูง รายได้ที่ไม่แน่นอน และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวยังไม่เต็มที่ และภาคเหนือได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครั้งใหญ่ในรอบหลายทศวรรษ ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชนและโครงสร้างพื้นฐานในวงกว้าง 

ทั้งนี้ สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางเชิงพื้นที่ที่ยังคงต้องการการแก้ไขอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง 

จำนวนคนจนรายภาค

เมื่อพิจารณาจากจำนวนคนจนพบว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีจำนวนคนจนสูงสุด ที่ประมาณ 1.19 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 34.63 ของคนจนทั้งประเทศ รองลงมาคือภาคใต้ 9.27 แสนคน หรือคิดเป็นร้อยละ 27.01 ถึงแม้ว่าภาคใต้จะเป็นภูมิภาคที่มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุดเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมดในภูมิภาค

แต่ในเชิงจำนวนสัมบูรณ์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีจำนวนคนจนมากกว่าภาคใต้ เนื่องจากมีจำนวนประชากรรวมมากกว่า

อย่างไรก็ตาม สศช. มองว่า การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดความแตกต่างเชิงโครงสร้างระหว่างภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ ความไม่สมดุลนี้สะท้อนชัดทั้งในมิติเศรษฐกิจและมิติสังคม และได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและการเติบโตของประเทศในระยะยาว

ด้วยเหตุนี้การกำหนดนโยบายการพัฒนาประเทศในลักษณะเหมารวม (One-Size-Fits-All) จึงไม่อาจตอบสนองต่อความท้าทายและบริบทเฉพาะของแต่ละภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกต่อไป โดยแนวทางการพัฒนาต้องปรับเปลี่ยนไปสู่ยุทธศาสตร์เชิงพื้นที่ที่คำนึงถึงศักยภาพและข้อจำกัดเฉพาะของแต่ละพื้นที่ 

โดยมุ่งเน้นการกระจายฐานเศรษฐกิจสู่ภูมิภาคเกษตรกรรม การพัฒนาระบบรองรับสังคมสูงวัยในภาคเหนือและการลงทุนในทุนมนุษย์ในภูมิภาคที่มีสัดส่วนประชากรวัยเด็กสูง เพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ และส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สมดุลและยั่งยืนในทุกภูมิภาคของประเทศต่อไป

 

ผ่าจังหวัดยากจนซ้ำซาก 15 ปี น่าห่วงอีสาน-เหนือ จำนวนคนจนสูงสุด