รายงานข่าวจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แจ้งว่า สศช.ได้จัดทำ รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2567 โดยระบุข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุด กระจายอยู่ในหลายภูมิภาคทั่วประเทศ ซึ่งข้อมูลที่น่าสนใจยังพบด้วยว่า มีบางจังหวัดที่ติดอยู่ในอันดับความยากจนซ้ำซากยาวนานถึง 15 ปี
สำหรับจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุด 10 อันดับแรก ตามรายงานของ สศช. มีดังนี้ แม่ฮ่องสอน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส อุบลราชธานี สระแก้ว พัทลุง ศรีสะเกษ เชียงราย และตาก
โดยแม่ฮ่องสอนและปัตตานีอยู่ใน 5 อันดับแรกของจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุดต่อเนื่องกันอย่างน้อย 15 ปี สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความยากจนเรื้อรังในจังหวัดดังกล่าว
นอกจากนี้ หากพิจารณาจาก 10 จังหวัดแรกที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุดในปี 2567 จะพบว่า 5 ใน 10 จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และตาก มักติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุดในปีอื่น ๆ ด้วย กล่าวคือ มีแนวโน้มเผชิญกับปัญหาความยากจนเรื้อรัง
ข้อมูลของ สศช. ระบุภาพรวมสถานการณ์ความยากจนในระดับจังหวัดแย่ลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดย ส่วนใหญ่มีสัดส่วนคนจนเพิ่มขึ้น มีเพียง 15 จังหวัด ที่มีสัดส่วนคนจนลดลงจากปี 2566 ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ สุพรรณบุรี ตราด พังงา สุราษฎร์ธานี กำแพงเพชร นครราชสีมา เพชรบุรี จันทบุรี เพชรบูรณ์ อุดรธานี กาญจนบุรี อุตรดิตถ์ พิจิตร และยโสธร
ทั้งนี้ในปี 2567 ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ยังคงเป็นภูมิภาคที่มีสัดส่วนประชากรยากจนสูงที่สุดของประเทศ โดยมีสัดส่วนคนจนอยู่ที่ร้อยละ 9.43 ร้อยละ 6.56 และร้อยละ 5.75 ตามลำดับ
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสถานการณ์ดังกล่าว ได้แก่ ข้อจำกัดเชิงโครงสร้างด้านเศรษฐกิจและสังคมของแต่ละพื้นที่ รวมถึงผลกระทบอันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติ เพราะภาคใต้ยังคงเผชิญกับสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดน แม้จะมีแนวโน้มคลี่คลายลงบ้างแล้ว แต่ยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการลงทุน ประกอบกับการเกิดอุทกภัยในหลายพื้นที่
ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือประสบกับปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่เกษตรกรรมเป็นวงกว้าง ท่ามกลางภาวะค่าครองชีพที่สูง รายได้ที่ไม่แน่นอน และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวยังไม่เต็มที่ และภาคเหนือได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครั้งใหญ่ในรอบหลายทศวรรษ ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชนและโครงสร้างพื้นฐานในวงกว้าง
ทั้งนี้ สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางเชิงพื้นที่ที่ยังคงต้องการการแก้ไขอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
เมื่อพิจารณาจากจำนวนคนจนพบว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีจำนวนคนจนสูงสุด ที่ประมาณ 1.19 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 34.63 ของคนจนทั้งประเทศ รองลงมาคือภาคใต้ 9.27 แสนคน หรือคิดเป็นร้อยละ 27.01 ถึงแม้ว่าภาคใต้จะเป็นภูมิภาคที่มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุดเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมดในภูมิภาค
แต่ในเชิงจำนวนสัมบูรณ์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีจำนวนคนจนมากกว่าภาคใต้ เนื่องจากมีจำนวนประชากรรวมมากกว่า
อย่างไรก็ตาม สศช. มองว่า การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดความแตกต่างเชิงโครงสร้างระหว่างภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ ความไม่สมดุลนี้สะท้อนชัดทั้งในมิติเศรษฐกิจและมิติสังคม และได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและการเติบโตของประเทศในระยะยาว
ด้วยเหตุนี้การกำหนดนโยบายการพัฒนาประเทศในลักษณะเหมารวม (One-Size-Fits-All) จึงไม่อาจตอบสนองต่อความท้าทายและบริบทเฉพาะของแต่ละภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกต่อไป โดยแนวทางการพัฒนาต้องปรับเปลี่ยนไปสู่ยุทธศาสตร์เชิงพื้นที่ที่คำนึงถึงศักยภาพและข้อจำกัดเฉพาะของแต่ละพื้นที่
โดยมุ่งเน้นการกระจายฐานเศรษฐกิจสู่ภูมิภาคเกษตรกรรม การพัฒนาระบบรองรับสังคมสูงวัยในภาคเหนือและการลงทุนในทุนมนุษย์ในภูมิภาคที่มีสัดส่วนประชากรวัยเด็กสูง เพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ และส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สมดุลและยั่งยืนในทุกภูมิภาคของประเทศต่อไป