KEY
POINTS
วันนี้ (26 กันยายน 2568) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยในงานการประชุมประจำปี 2568 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “ยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย Thailand’s Institutional Reform” ตอนหนึ่งว่า ในช่วงที่ผ่านมาการขับเคลื่อนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 จะมีความพยายามขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกลับยังไม่ก้าวหน้ามากนัก
โดยการจัดสรรงบประมาณลงไปรวม 3 ปี ตั้งแต่ปี 2566 เพื่อขับเคลื่อนโครงการและแผนงานต่าง ๆ ภายใต้แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 กว่า 9,132 โครงการ รวมเป็นวงเงินกว่า 3.37 ล้านล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 1 ล้านล้านบาท แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นยังไม่เป็นไปตามที่ต้องการอย่างเป็นรูปธรรม แม้ที่ผ่านมาจะมีการใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 มาอย่างต่อเนื่อง
นายดนุชา กล่าวว่า ปัญหาในการจัดสรรงบประมาณลงไปเฉลี่ยปีละ 1 ล้านล้านบาท กว่า 50% เป็นค่าใช้จ่ายด้านการประกันสุขภาพถ้วนหน้า การรักษาพยาบาล สวัสดิการสังคม และการศึกษา อีก 18% เป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั่วไป เช่น ถนน ซึ่งเป็นงานรูทีนปกติ ขณะที่ภาคเกษตร มีการจัดสรรสัดส่วนประมาณ 10% หรือหลักแสนล้านบาทต่อปีเท่านั้น
ทั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่างบประมาณส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับงานด้านอุปทาน เช่น การขุดลอก อ่างเก็บน้ำ หรือการแจกเมล็ดพันธุ์ ถือว่าขาดการลงทุนเชิงรุกที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ เช่น การเพิ่มผลิตภาพของภาคเกษตร การนำเทคโนโลยีมาใช้แปรรูปสินค้าให้มีมูลค่าสูงขึ้น รวมทั้งการสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะธุรกิจการดูแลสุขภาพ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายภายใต้แผนฯฉบับที่ 13 ที่เน้นให้เกิดการส่งเสริม
อย่างไรก็ตามการดำเนินงานตามแผนฯ 13 ช่วง 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา พบว่า หลายประเด็นการขับเคลื่อนมีความเสี่ยงว่าจะไม่สำเร็จตามเป้าหมายในปี 2570 เริ่มต้นจากรายได้ต่อหัวประชากร กำหนดเป้าหมายในปี 2570 คนไทยต้องมีรายได้ต่อหัวอยู่ที่ 300,000 บาทต่อคนต่อปี แต่ข้อมูลล่าสุดในปี 2570 อยู่เพียงแค่ 267,661 บาท่อคนต่อปีเท่านั้น ถือว่ามีความท้าทายอย่างยิ่งหากจะผลักดันให้เพิ่มขึ้นถึงเป้าหมาย
ต่อมาคือ การพัฒนาคนให้มีดัชนีความก้าวหน้า (HAI) อยู่ในระดับ 0.7209 หรือมีความก้าวหน้าของคนอยู่ในระดับสูง ซึ่งล่าสุดดัชนีดังกล่าว กลับปรับลดลงจากช่วง 2 ปีก่อน ไปอยู่ที่ระดับปานกลาง คือระดับ 0.6354 ดังนั้นการพัฒนาคนจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากที่จะทำให้บรรลุเป้าหมาย และเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับการพัฒนาศักยภาพคนในโลกยุคใหม่และการสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของคนให้เกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องยาก
อีกเรื่องคือ ความเหลื่อมล้ำ ตามเป้าหมายกำหนดให้ตัวเลขความแตกต่างของรายจ่ายระหว่างกลุ่มคนรวยและคนจนต่ำกว่า 5 เท่า ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 5.22 เท่า เช่นเดียวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ต้องลดลงไม่น้อยกว่า 20% เมื่อเทียบกับกรรีกติ แต่ปัจจุบันการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพิ่มขึ้น 1% จากปีก่อนหน้า
ส่วนนเรื่องของความสามารถในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและความเสี่ยงภายใต้บริบทโลกใหม่เคยเกินเป้าหมาย 90% แต่ตอนนี้ลดลงมาอยู่ในระดับ 89.69%
นายดนุชา กล่าวว่า ปัญหาสำคัญตั้งแต่การจัดทำแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 10 เป็นต้นมา เมื่อปี 2550 อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยโดยรวมเติบโตต่ำกว่า 5% มาโดยตลอด แม้ว่าจะผ่านช่วงวิกฤตมาแล้ว ซึ่งไม่เพียงพอที่จะผลักดันประเทศจากรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศรายได้สูง หลังจากความสามารถทางการแข่งขับของไทยถดถอยลงในทุกด้าน โดยเฉพาะประสิทธิภาพภาครัฐ กฎระเบียบ และโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งการศึกษา สุขภาพและสิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี
“ตัวเลขทั้งหมดสะท้อนการทำงานที่ผ่านมา เป็นการทำงานในลักษณะที่เป็นงานปกติ ไม่ได้เป็นการทำในเรื่องใหม่ ๆ ที่มันจะสามารถที่จะขับเคลื่อนให้ประเทศเราก้าวขึ้นมาอยู่ในจุดที่สามารถสร้างอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้สูงขึ้นได้ เบื้องต้น สศช. เห็นว่า ที่ผ่านมาการพัฒนาของไทยมันอาจจะหยุดชะงักมาสักช่วงระยะหนึ่งแล้ว ไม่ใช่เป็นแค่ช่วงนี้ เพราะว่าเราทำเรื่องเดิม ๆ แล้วเราไม่ได้มีการแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างกันจริงจัง” นายดนุชา กล่าว
อย่างไรก็ตาม สศช. เสนอแนะว่า ประเทศไทยควรต้องยกเครื่องแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างประเทศครั้งใหญ่ โดยมี 5 ประเด็นหลักที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน ดังนี้
1. กฎหมายและกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันที่เป็นธรรม และจำกัดโอกาสในการสร้างธุรกิจ โดยเฉพาะการใช้กลไกกฎหมายไปจำกัดการแข่งขันในบางอุตสาหกรรม
2. การทุจริต การทุจริตมีอยู่และฝังรากลึก ซึ่งเป็นต้นทุนต่อภาคธุรกิจและประชาชน ประเทศที่มีค่าดัชนี CPI ดี จะมีรายได้ต่อหัวสูงกว่า
3. หลักนิติธรรม กระบวนการยุติธรรมที่ล่าช้าเกินความคาดหมาย (เช่น คดีในตลาดทุนที่ใช้เวลานาน) ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
4. ประชาธิปไตย แม้ดัชนีโดยรวมจะลดลง แต่ข้อดีคือ การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างประเทศ และช่วยให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะไม่ถูกขัดขวางด้วยวิธีอื่น
5. การบริหารจัดการภาครัฐ ภาครัฐมีขนาดใหญ่เกินไป มีกฎระเบียบจำนวนมาก และเน้นการควบคุม มากกว่าการ อำนวยความสะดวกทำให้การทำงานขาดนวัตกรรม และไม่สามารถตอบสนองการพัฒนาในภาพใหญ่ได้อย่างแท้จริง
นายดนุชา กล่าวว่า ประเทศไทยต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง เพื่อผลักดันการพัฒนาให้เดินหน้า ภายใต้กรอบ D-A-R-E to Reform ได้แก่ D – Determination : ความมุ่งมั่นตั้งใจ A – Action Together : การลงมือร่วมกันจากทุกภาคส่วน R – Redesign Innovation : การออกแบบกติกาและนวัตกรรมเชิงสถาบันใหม่ เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง และ E – Emergency Mindset : การตระหนักถึงความเร่งด่วน ต้องดำเนินการทันที ไม่ผัดผ่อน