สศช.แนะทำแผนขึ้น ‘ภาษีแวต’ รายกลุ่มสินค้า เพิ่มศักยภาพการคลัง

15 ก.ย. 2568 | 08:55 น.
อัปเดตล่าสุด :15 ก.ย. 2568 | 08:59 น.

สศช.แนะกระทรวงการคลัง ทำแผนทยอยการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ ‘ภาษีแวต’ รายกลุ่มสินค้า พร้อมออกแนวทางการเพิ่มศักยภาพทางการคลัง รองรับความเสี่ยงเศรษฐกิจ การเงินโลก

KEY

POINTS

  • สศช. เสนอให้กระทรวงการคลังวางแผนทยอยปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อย่างชัดเจน เพื่อแก้ปัญหาข้อจำกัดทางการคลัง
  • ข้อเสนอแนะระบุว่าอาจเริ่มปรับขึ้นภาษี VAT แบบเฉพาะเจาะจงรายกลุ่มสินค้าในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว
  • การปรับขึ้นภาษีมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มศักยภาพทางการคลังของประเทศ รองรับความเสี่ยงในอนาคต ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเงินโลก ท่ามกลางหนี้สาธารณะที่สูงขึ้น

จากกรณีที่ประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยเป็นการขยายเวลาการจัดเก็บ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) 7% (รวมภาษีท้องถิ่น) ต่อไปอีก เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2569 เพื่อลดผลกระทบจากค่าครองชีพ ช่วยกระตุ้นการบริโภคของประชาชนนั้น  

รายงานข่าวจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า สศช.ได้จัดทำความเห็นประกอบ โดยมีสาระสำคัญว่า ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีขอให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เสนอความเห็นในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เรื่องการขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ของกระทรวงการคลังครั้งนี้

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พิจารณาแล้ว ไม่ขัดข้องในหลักการของ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม) ออกไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2569 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อช่วยรักษาระดับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ 

โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญตามการลดลงของการส่งออกสินค้าและ ภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบจากการดำเนินมาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าศุลกากรนำเข้าของ สหรัฐฯ ประกอบกับแนวโน้มการชะลอตัวของการท่องเที่ยว 

อย่างไรก็ตาม ภาคการคลังมีข้อจำกัดจากระดับหนี้สาธารณะที่ปรับตัวสูงขึ้นใกล้ระดับเพดานหนี้ที่ 70% ต่อ GDP อีกทั้งความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลยังอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่รายจ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะรายจ่ายที่ยากต่อการลดทอนและรายจ่ายสวัสดิการปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดความไม่สมดุลของรายได้และรายจ่ายภาครัฐและทำให้ ความสามารถในการรองรับวิกฤตในอนาคตลดลง 

ดังนั้น กระทรวงการคลัง จึงควรพิจารณากำหนดแผนการทยอยการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มให้มีความชัดเจน โดยอาจเริ่มจากการปรับเพิ่มแบบเฉพาะรายกลุ่มสินค้าในช่วงเวลาที่ภาวะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ควบคู่ไปกับการกำหนดแนวทางการเพิ่มศักยภาพทางการคลัง (fiscal consolidation) อย่างเป็นรูปธรรม

โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายภาครัฐ เพื่อลดข้อจำกัดทางการคลังและเตรียมพื้นที่ทางการคลังไว้สำหรับรองรับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเงินโลก การเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น

ทั้งนี้ที่ประชุมครม. ได้เห็นชอบร่างกฎหมายฉบับนี้ และได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย