KEY
POINTS
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จัดการประชุมประจำปี 2568 เรื่อง ยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย Thailand’s Institutional Reform โดยมีการเสวนาในหัวข้อ “ยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย ทำอย่างไรให้เป็นจริง”
โดยมี ดร.วิรไท สันติประภพ ประธานกรรมการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ศ.(พิเศษ) ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานกรรมการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) ดร.ปิติ ตัณฑเกษม กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ร่วมวงเสวนา
ดร.วิรไท สันติประภพ กล่าวว่า ปัญหาของภาคราชการไทยไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคล เพราะมีข้าราชการที่เก่งและทุ่มเทจำนวนมาก แต่ปัญหาอยู่ที่ระบบที่เป็นตัวถ่วงต่อการพัฒนาประเทศไปข้างหน้า ภาคประชาชนและธุรกิจคาดหวังให้ระบบราชการเป็นกลไกขับเคลื่อนประเทศเต็มตามศักยภาพและทำให้เกิดความสะดวกมากขึ้น แต่ความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม นั่นคือผลิตภาพต่ำของภาครัฐต่ำกว่าทุกภาคเศรษฐกิจ กลายเป็นต้นทุนของประชาชนและภาคธุรกิจ
ขณะเดียวกันภาคราชการยังปรับตัวช้า โดยไม่สามารถปรับตัวให้เท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็วได้ ตัวอย่างเช่น การออกกฎหมายดูแลการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage) ที่ไทยยังหาเจ้าภาพไม่ได้ ทั้งที่มาเลเซียและอินโดนีเซียก้าวไปไกลแล้ว ซึ่งจะกระทบความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในอนาคต เพื่อให้เท่าทันกับโลกใหม่
อีกปัญหาใหญ่คือการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำไม่ได้ กลไกสำคัญคือภาครัฐอย่างการศึกษาที่ใช้งบประมาณมหาศาล กลับยังไม่สามารถยกระดับคุณภาพการศึกษาขึ้นมาให้เท่ากันกับประเทศอื่น ๆ ได้ รวมทั้งภูมิคุ้มกันทางลดลงที่ปรับลดลง เห็นได้จากการที่บริษัทจัดอันดับเครดิต ทั้ง Moody’s และ Fitch ปรับลดอันดับแนวโน้มความน่าเชื่อถือของไทย
“ที่ผ่านมาเราพูดเรื่องการปฏิรูปกันมานานและใช้พลังเยอะมาก คำถามคือแล้วทำไมเราถึงมีปัญหาเรื่องการปฏิรูปกลไกภาครัฐให้ไปไม่ถึงเป้าหมาย โดยเราทำให้เป็นรัฐสมัยใหม่มากขึ้น แต่ยังไม่ได้นำไปสู่การพลิกโฉมของระบบราชการทั้งหมด โดยเฉพาะธรรมาภิบาลในระบบราชการ อีกเรื่องคือการแตกกล่องมากขึ้นในระบบราชการ โดยไม่รวบรวมกล่องเข้ามาด้วยกัน ลดหน่วยงานที่ซ้ำซ้อนกัน ทั้งเรื่องการศึกษา และบริหารจัดการน้ำ”
ขณะเดียวกันยังมีปัญหาเรื่องการออกกฎหมาย ที่เป็นการออกกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาในอดีต แต่ไม่ได้มีกฎหมายที่เตรียมรับมือกับปัญหาที่กำลังจะเผชิญข้างหน้า รวมทั้งการมีวัฒนธรรมองค์กร หลังจากการเมืองเข้ามามีบทบาท ทำให้ราชการมีระบบอุปถัมภ์มากกว่าการสร้างธรรมาภิบาลในภาครัฐ โดยเน้นพิธีกรรมมากกว่าความยั่งยืน อีกอย่างที่น่าเป็นห่วงคือข้าราชการมักหนีความเสี่ยง ไม่กล้ารับความเสี่ยง และบริหารจัดการความเสี่ยง ทั้งที่เป็นหน้าที่หลักของข้าราชการ
“วัฒนธรรมที่สะสมกันมา ทั้งการเอาผิด 157 หรือแต่ละหน่วยงานถูกซอยออกมา กลายเป็นการสร้างวัฒนธรรมที่ไม่รับความเสี่ยง ทำให้การตัดสินใจต้องถูกเลื่อนไปเรื่อย ๆ และสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคือการยึดโยงผลประโยชน์ของประชาชนตอนนี้กลับหายไป ดังนั้นจึงต้องเร่งสร้างเรื่องนี้ในระบบราชการ”
ดร.วิรไท กล่าวว่า ได้เสนอแนวทางปฏิรูปกลไกภาครัฐที่สำคัญที่ต้องทำอย่างจริงจัง แม้รัฐบาลปัจจุบันจะมีระยะเวลา 4 เดือน คือ รัฐบาลต้องจัดการปัญหาคอร์รัปชันอย่างจริงจัง ถือเป็นเงื่อนไขแรกที่ต้องทำก่อนการปฏิรูปอื่นๆ เพื่อสร้างความไว้วางใจ พร้อมจำกัดอำนาจและบทบาทรัฐ โดยภาครัฐควรทำหน้าที่เป็นผู้กำหนดนโยบายและผู้กำกับดูแลไม่ใช่ผู้ปฏิบัติในเรื่องที่เอกชนทำได้ดีกว่า ยกตัวอย่างความสำเร็จของการบินไทยที่ฟื้นตัวได้หลังพ้นสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจ
เช่นเดียวกับการยกเลิกกฎหมายและกฎเกณฑ์ของรัฐที่ล้าสมัยแบบเหมาเข่ง พร้อมทั้งปฏิรูปกระบวนการปฏิรูปกฎหมายอย่างจริงจัง โดยตั้งหน่วยงานกลางที่เป็นอิสระมาประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย แทนที่จะให้หน่วยงานเจ้าของกฎหมายประเมินตัวเอง พร้อมออกแบบกระบวนการทำงานใหม่ เน้นการคิดแบบครบวงจร โดยยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง แทนการจัดโครงสร้างองค์กรแบบเดิม ๆ
รวมไปถึงการสร้างความรับผิดชอบที่ยึดโยงกับประชาชน ผ่านการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นให้มากขึ้น เพื่อลดโครงสร้างแบบหัวโตในส่วนกลาง คู่กับการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร จากการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเป็นการบริหารจัดการความเสี่ยง และกล้าตัดสินใจในเรื่องใหม่ ๆ
พร้อมกับสร้างภูมิคุ้มกันทางการคลัง โดยลดขนาดภาครัฐและบริหารจัดการทรัพย์สินของรัฐ โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจให้มีประสิทธิภาพและสร้างรายได้ให้กับภาครัฐแทนการเป็นหน่วยงานสร้างรายจ่ายภาครัฐ และผลักดัน Digital Transformation อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่การนำข้อมูลขึ้นระบบ (Digitization) แต่ต้องเป็นการปรับกระบวนการทำงานทั้งระบบราชการ
“ประเทศไทยมีความเสี่ยงที่จะเป็นรัฐกบต้ม คือค่อยๆ เผชิญปัญหารุนแรงขึ้นจนสายเกินแก้ จึงอย่ารอให้เกิดวิกฤตแล้วค่อยปฏิรูป แต่ต้องลงมือทำทันทีในขณะที่ประเทศยังมีความเข้มแข็งอยู่”
ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ กล่าวว่า หลักนิติธรรมถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่สุด แต่เป็นโครงสร้างที่มองไม่เห็น ไม่เหมือนกับถนน ไฟฟ้า หรือน้ำประปา หลักนิติธรรมหมายถึงสังคมที่กฎหมายเป็นใหญ่ มีความเป็นธรรม มีที่มาที่ถูกต้อง และบังคับใช้กับทุกคนอย่างเท่าเทียมไม่เลือกปฏิบัติ
แต่การผลักดันเรื่องนี้ในประเทศไทยกลับไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากหลายสาเหตุ ทั้งเป็นเรื่องนามธรรมและซับซ้อน ทำให้คนทั่วไปมองว่าเป็นเรื่องของนักกฎหมาย ไม่ใช่เรื่องของประชาชน ทั้งที่จริงแล้วหลักนิติธรรมคือหลักประกันของประชาชนที่จะไม่ให้กฎหมายถูกใช้อย่างไม่ถูกต้อง
การเชื่อมโยงกับโครงสร้างอำนาจรัฐ การปฏิรูปหลักนิติธรรมคือการจำกัดและตรวจสอบอำนาจรัฐ ซึ่งมักจะไปจบที่เจตจำนงทางการเมืองที่ไม่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และขาดเจ้าภาพและการบูรณาการ โดยปัญหาถูกมองแบบแยกส่วน ทำให้การแก้ไขไม่เป็นระบบ
ทั้งนี้ดัชนีหลักนิติธรรมของ World Justice Project (WJP) ชี้ว่าประเทศไทยมีคะแนนในด้านการจำกัดและตรวจสอบอำนาจรัฐอยู่ในอันดับที่ 101 ของโลก ซึ่งต่ำมากและยังมีปัญหาด้านคอร์รัปชันและการบังคับใช้กฎระเบียบภาครัฐ โดยการมีรัฐธรรมนูญที่เป็นสัญญาประชาคมที่ประชาชนยอมรับ คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดในการวางกรอบกติกาการใช้อำนาจรัฐ
ดร.กิตติพงษ์ กล่าวว่า การขับเคลื่อนเรื่องของหลักนิติธรรมต้องทำให้เป็นวาระแห่งชาติ เนื่องจากไม่มีเจ้าภาพที่ชัดเจน จึงต้องผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน ทั้งภาคประชาสังคม ภาครัฐ และเอกชน โดยหลักนิติธรรมที่ดีไม่มีขาย อยากได้ต้องร่วมกันสร้าง และควรใช้กรอบการประเมินของ WJP และเป้าหมายการเข้าเป็นสมาชิก OECD เป็นเครื่องมือสร้างแรงผลักดันจากภายนอก และแรงกดดันจากภายในไปพร้อมกัน
ขณะเดียวกันยังต้องสร้างพลเมืองที่ตื่นรู้ โดยต้องลงทุนกับการสร้างความเข้าใจเรื่องสิทธิพลเมือง กระบวนการประชาธิปไตย และการตรวจสอบอำนาจรัฐตั้งแต่ระดับเยาวชน เพื่อให้ประชาชนเข้าใจกลไกและมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์
อย่างไรก็ดีในข้อเสนอเร่งด่วนสำหรับรัฐบาลระยะสั้น เสนอว่า ควรจุดประกายการเปลี่ยนแปลง 3 เรื่องให้เกิดขึ้น คือ 1. ปฏิรูปด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน รัฐบาลเปิดเผย และกฎระเบียบ 2. ทำให้รัฐธรรมนูญเป็นของประชาชน เพื่อลดความขัดแย้ง และ 3. สร้างโรดแมปประเทศไทยในประเด็นสำคัญก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้าจะเกิดขึ้น
ดร.ปิติ ตัณฑเกษม กล่าวว่า โครงสร้างของไทยในอดีตเคยเป็นแบบ Pro-Business แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นโปรภาคธุรกิจขนาดใหญ่ และทุนข้ามชาติ จนในที่สุดก็โปรธุรกิจสีเทาโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งกำลังทำลายธุรกิจเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของการจ้างงานในประเทศ เพราะเอสเอ็มอี กำลังจะตายเพราะแข่งขันไม่ได้ ทั้งจากทุนใหญ่ สินค้าจีน และธุรกิจนอกระบบที่พร้อมจ่ายสินบน
“ตอนนี้ธุรกิจขนาดใหญ่เมื่อแข่งไม่ได้ก็มาแย่งตลาดเอสเอ็มอี หรือธุรกิจใต้ดินขึ้นมา ธุรกิจขนาดเล็กในระบบกำลังจะตาย เอสเอ็มอีมีหนี้เสียวิ่งขึ้นตลอด แบงก์ใส่เงินลงไปก็เจ๊ง และอัตราการรอดตายของเอสเอ็มอี ที่วัด 3 ปีแล้วยังรอดเหลือแค่ 10% ถือว่าเป็นสัญญาณที่น่ากลัวมาก”
ดร.ปิติ เสนอว่า จำเป็นต้องสร้าง Reinvent Thailand เพื่อเป็นพิมพ์เขียวการทำงานร่วมกันระหว่างเอกชนและรัฐเพื่อสร้างอนาคตประเทศไทย โดยสร้างแบบสถาปัตยกรรมของประเทศที่มีความต่อเนื่องแม้การเมืองจะเปลี่ยนไป โดยนักการเมืองมีหน้าที่เป็นผู้รับเหมาที่สร้างตามแบบ ไม่ใช่สถาปนิก ที่มาเปลี่ยนแบบทุกครั้ง
โดยพิมพ์เขียวนี้ควรมี 3 แกนหลัก คือ ภาคประชาชน ต้องแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน โดยเปลี่ยนให้เครดิตสกอร์ เป็นเครื่องมือสร้างโอกาสให้คนที่มีวินัยได้สินเชื่อในราคาที่เป็นธรรม ไม่ใช่เป็นเพียงบัญชีดำ
ส่วนภาคธุรกิจ ต้องเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจจากยักษ์ใหญ่แย่งไอติมเด็กเป็นดอกไม้กับแมลงที่พึ่งพากัน โดยเสนอให้มีมาตรฐานในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เพื่อสร้างแต้มต่อให้ SME และ Supply Chain ของไทย คล้ายกับนโยบาย Local Content ในอุตสาหกรรมยานยนต์ในอดีต
ส่วนสุดท้ายคือภาครัฐต้องสร้างกระบวนการดิจิทัลทางเลือกสำหรับบริการประชาชน โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่ากระบวนการเก่าต้องหายไปภายในกี่ปี พร้อมทั้งเรื่องการสร้างสวัสดิการเช่นการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็น 10% จะได้เงินเพิ่มอีก 4 แสนล้าน เพื่อนำเงินมาสร้างระบบสวัสดิการภาครัฐแบบใหม่ที่เหมาะสมกับคนทุกกลุ่ม และดึงเศรษฐกิจนอกระบบให้เข้ามาอยู่ในระบบมากขึ้น
“การยกเครื่องโครงสร้างต้องแยกกระตุ้นซ่อมสร้างออกจากกัน และทุกนโยบายกระตุ้นต้องนำไปสู่การซ่อมและสร้างโครงสร้างใหม่เสมอ หากมีเจตจำนงร่วมกัน เรื่องยาก ๆ ก็สามารถเกิดขึ้นได้จริงในประเทศไทย”