สศช.ชำแหละ ‘งบแก้ยากจน’ หลายแสนล้าน แก้ปลายเหตุ-แตะแค่กระพี้

17 ก.ย. 2568 | 23:04 น.

สศช.ชำแหละปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2567 รัฐจัด ‘งบแก้ยากจน’ หลายแสนล้าน แต่แก้ปลายเหตุ ชี้บรรเทาเดือดร้อนเฉพาะหน้า แนะรื้อใหญ่แก้ที่โครงสร้าง

KEY

POINTS

  • สศช. ชำแหละรัฐบาลจัดสรรงบประมาณกว่า 8.2 แสนล้านบาทเพื่อแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • งบประมาณส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับมาตรการเชิงสงเคราะห์และสวัสดิการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
  • มาตรการที่มุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระยะยาว เช่น การลงทุนด้านการศึกษาและพัฒนาทักษะทรัพยากรมนุษย์ ได้รับการจัดสรรงบประมาณในสัดส่วนที่น้อยมาก

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับรากฐานความเหลื่อมล้ำระหว่างภูมิภาคของไทย ภายใต้รายงานการวิเคราะห์ สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2567 โดยระบุถึงนโยบายและช่องว่างการดำเนินนโยบายการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ มีเนื้อหาที่น่าสนใจว่า

สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในช่วงปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยเมื่อพิจารณาการใช้จ่ายงบประมาณและโครงการ/มาตรการภายใต้ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณพบว่า

การใช้จ่ายงบประมาณเป็นเครื่องมือเชิงนโยบายที่สำคัญสำหรับภาครัฐในการจัดสรรทรัพยากรเพื่อขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยในปีงบประมาณ 2567 รัฐบาลได้กำหนดนโยบายงบประมาณแบบขาดดุล เพื่อกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ 

ควบคู่ไปกับการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในทุกมิติ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการบริหารจัดการของภาครัฐ อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมุ่งเสริมสร้างศักยภาพในการจัดบริการสาธารณะ การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ และการใช้งบประมาณในระดับพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม

รัฐจัดงบ 8.2 แสนล้าน แก้ยากจนไม่ได้

ทั้งนี้ในปี งบประมาณ 2567 รัฐบาลจัดสรรงบประมาณรายจ่ายรวมทั้งสิ้น 3.60 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 19.58 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) โดยมีการเบิกจ่ายรวม 3.54 ล้านล้านบาท ซึ่งยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมได้รับการจัดสรรงบประมาณสูงสุด คิดเป็นมูลค่า 827,041 ล้านบาท หรือร้อยละ 23.35 ของงบประมาณทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม แม้รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียด พบว่า งบประมาณส่วนใหญ่ภายใต้ยุทธศาสตร์ดังกล่าวถูกใช้ไปกับรายจ่ายประจำและโครงการต่อเนื่อง 

 

สศช.ชำแหละ ‘งบแก้ยากจน’ หลายแสนล้าน แก้ปลายเหตุ-แตะแค่กระพี้

 

โดยเฉพาะการจัดสรรเงินอุดหนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เงินอุดหนุนกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานของรัฐ ซึ่งเป็นโครงการที่มีมูลค่าสูงสุด 3 อันดับแรกในหมวดนี้ 

สะท้อนให้เห็นว่า การใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐในปัจจุบันอาจยังสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างได้อย่างจำกัด ทำให้การแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ ซึ่งฝังรากลึกในระดับโครงสร้างยังไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร

การจัดสรรงบแก้ยากจน-เหลื่อมล้ำ

ขณะที่ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ มีมูลค่าการเบิกจ่ายรวมทั้งสิ้น 580,166 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นแนวทางสำคัญในการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างในระยะกลางถึงระยะยาว ผ่านการลงทุนทางด้านการศึกษาและสาธารณสุข 

ทั้งนี้ เป้าหมายหลักของยุทธศาสตร์ดังกล่าว คือ การยกระดับศักยภาพของประชาชน เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการสร้างรายได้ให้สูงขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในภาพรวม 

โครงการส่วนใหญ่ภายใต้ยุทธศาสตร์นี้ จึงให้ความสำคัญกับประเด็นด้านการศึกษา การวิจัย และการพัฒนาทักษะแรงงาน อาทิ ค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต ค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐพัฒนาด้านสาธารณสุขและสร้างเสริมสุขภาพเชิงรุก โครงการพัฒนาภาคีเครือข่ายให้มีศักยภาพในการดำเนินการจัดการสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสมในชุมชน โครงการขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืน

การจำแนกโครงการภายใต้ทั้งสองยุทธศาสตร์ที่ได้กล่าวมาแล้ว สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางของภาครัฐในการลดปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำในเชิงระบบ โดยเน้นการสร้าง “โครงข่ายความคุ้มครองทางสังคม” (Social Safety Net) เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ และเสริมสร้างหลักประกันขั้นพื้นฐานให้แก่ กลุ่มเปราะบาง 

งบประมาณส่วนใหญ่ภายใต้ยุทธศาสตร์นี้ถูกจัดสรรให้กับแผนงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดสวัสดิการ ได้แก่ แผนงานยุทธศาสตร์สร้างหลักประกันทางสังคม (ร้อยละ 44.73) แผนงานยุทธศาสตร์ส่งเสริมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ร้อยละ 38.15) และแผนงานยุทธศาสตร์สร้างความเสมอภาคทางการศึกษา (ร้อยละ 10.25) 

โดยมีโครงการสำคัญ อาทิ โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และเบี้ยความพิการ ซึ่งล้วนเป็นกลไกในการป้องกันไม่ให้ประชาชนตกอยู่ใต้เส้นความยากจน

 

สศช.ชำแหละ ‘งบแก้ยากจน’ หลายแสนล้าน แก้ปลายเหตุ-แตะแค่กระพี้

 

จัดงบแค่แก้เดือดร้อนเฉพาะหน้า

อย่างไรก็ตาม โครงการและมาตรการที่มุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระยะยาวยังมีจำนวน และงบประมาณจำกัด แม้จะมีมาตรการสำคัญ เช่น กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ซึ่งมุ่งลดความยากจนข้ามรุ่นผ่านการสนับสนุนโอกาสทางการศึกษา รวมถึงโครงการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ช่วยส่งเสริมโอกาสในระดับพื้นที่ 

แต่เมื่อเทียบกับงบประมาณสวัสดิการโดยรวม ยังมีข้อจำกัดในการสร้างสมดุลระหว่างการแก้ไขปัญหาระยะสั้นกับการสร้างความมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว เนื่องจากงบประมาณส่วนใหญ่ไม่ได้มุ่งเน้นที่การลงทุนเพื่อพัฒนา “ระบบความคุ้มครองทางสังคม” ที่มั่นคงและเท่าเทียม 

กลับเน้นไปที่มาตรการเชิง “สงเคราะห์” หรือการบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุและก่อให้เกิดภาระทางการคลังระยะยาว

ดังนั้น ความท้าทายจึงมิใช่เพียงการคงไว้ซึ่งกลไกคุ้มครองทางสังคมที่มีอยู่ แต่ยังรวมถึงการออกแบบนโยบายและการจัดสรรงบประมาณที่ให้ความสำคัญกับ “การสร้างภูมิคุ้มกัน” ให้แก่ประชาชนมากขึ้น ผ่านการยกระดับคุณภาพการศึกษา การพัฒนาทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด การพัฒนาระบบหลักประกันทางสังคมให้เป็นเอกภาพ และการปฏิรูปโครงสร้างที่ส่งเสริมการเข้าถึงที่ดินและแหล่งทุนอย่างเป็นธรรม

 

สศช.ชำแหละ ‘งบแก้ยากจน’ หลายแสนล้าน แก้ปลายเหตุ-แตะแค่กระพี้

 

เมินแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง

ทิศทางนโยบายและมาตรการสำคัญของรัฐบาลในปี 2567 สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับมาตรการเยียวยาและช่วยเหลือเฉพาะหน้าเป็นหลัก โดยส่วนใหญ่เน้นไปที่การสร้างหลักประกันทางสังคม และการพัฒนาคุณภาพชีวิตผ่านการโอนเงินและสวัสดิการสังคม ซึ่งมีสัดส่วนถึงร้อยละ 78.45 ของงบประมาณ 

โครงการและมาตรการที่สำคัญทั้งหมด (มูลค่ารวมทั้งสิ้น 519,913.64 ล้านบาท) ตัวอย่างเช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เบี้ยความพิการ เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด 

ในทางกลับกัน มาตรการที่มุ่งแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับศักยภาพการพัฒนา และสร้างการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว กลับมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 21.28 ของงบประมาณ เช่น การลงทุนในทุนมนุษย์ การปรับโครงสร้างหนี้ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

นอกจากนี้ ความท้าทายสำคัญไม่ได้จำกัดอยู่เพียงประเด็นการจัดสรรงบประมาณ แต่ยังรวมถึงการปรับเปลี่ยนวิธีการติดตามและประเมินผลจากการมุ่งวัด “ผลผลิต” ไปสู่ “ผลลัพธ์” และ “ผลกระทบ” ที่ยั่งยืน การปรับทิศทางดังกล่าวจะมีบทบาทสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อน 

ทั้งการยกระดับรายได้ของประชาชนอย่างมั่นคง การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง การลดความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ และโอกาส รวมทั้งการสร้างกลไกการบูรณาการนโยบายและมาตรการที่มีประสิทธิภาพและสอดประสานกันอย่างแท้จริง