KEY
POINTS
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยรายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2567 โดยจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับปัญหา ความเหลื่อมล้ำ ของประเทศไทยเมื่อเทียบกับหลายประเทศ ทั้งประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศพัฒนาแล้ว พบข้อมูลที่น่าสนใจด้งนี้
สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำด้านรายจ่ายของไทยในปี 2567 ยังคงอยู่ในระดับทรงตัว โดยมีค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาค ด้านรายจ่ายลดลงเล็กน้อยจาก 0.335 ในปี 2566 มาอยู่ที่ 0.333 ในปี 2567 และประชากรกลุ่มที่มีรายจ่ายต่ำ มีส่วนแบ่งการใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้น แต่การใช้จ่ายของกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เน้นไปที่สินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตเป็นหลัก
โดยกลุ่มที่มีรายจ่ายต่ำสุดร้อยละ 20 (Decile 1 และ 2) ใช้จ่ายเงินประมาณครึ่งหนึ่งของรายจ่ายทั้งหมดไปกับ อาหารและเครื่องดื่ม ในขณะที่กลุ่มที่มีรายจ่ายสูงสุดร้อยละ 10 (Decile 10) มีแนวโน้มใช้จ่ายเงินไปกับสินค้า และบริการอื่นที่ไม่ใช่ปัจจัยพื้นฐาน เช่น การครอบครองและบำรุงรักษายานพาหนะ เทคโนโลยีการสื่อสาร การท่องเที่ยว บริการสุขภาพเอกชนที่สะดวกรวดเร็ว และการศึกษาขั้นสูง
ข้อมูลจาก World Inequality Database ในช่วงปี 2554 - 2566 สะท้อนให้เห็นความเหลื่อมล้ำ ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในสองมิติหลัก ได้แก่ อัตราส่วนรายได้ของประชากรกลุ่มที่มีรายได้ สูงสุดร้อยละ 10 (Top 10) ต่อกลุ่มที่มีรายได้ต่ำสุดร้อยละ 50 (Bottom 50)
ขณะที่ค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาค (Gini Coefficient) ด้านรายได้ ที่คำนวณจากข้อมูลรายได้ประชาชาติ10 โดยประเทศไทย มีอัตราส่วนรายได้เฉลี่ยในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ที่ 4.41 เท่า และมีค่า Gini เฉลี่ย 0.626 ซึ่งใกล้เคียงกับค่า Gini จากการประยุกต์ใช้ฐานข้อมูลภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในการวิเคราะห์ความเหลื่อมล้ำของไทย ในปี 2564 ที่ 0.61211
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่า ประเทศไทยมีระดับความเหลื่อมล้ำอยู่ในเกณฑ์สูง เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีบริบททางเศรษฐกิจและสังคม ใกล้เคียงกัน และยิ่งแตกต่างอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว
เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีอัตราส่วนรายได้ของ Top 10 ต่อ Bottom 50 อยู่ที่ 4.19 เท่า และมีค่า Gini เฉลี่ย 0.617 จะพบว่า ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค รวมถึงสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านที่มีบริบทใกล้เคียง เช่น ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ซึ่งแม้มีรายได้ต่อหัวต่ำกว่าไทย แต่กลับมีความเหลื่อมล้ำต่ำกว่า โดยมีอัตราส่วนรายได้เพียง 3.04 และ 2.95 เท่า และมีค่า Gini เฉลี่ย 0.560 และ 0.553 ตามลำดับ
ขณะที่มาเลเซีย ซึ่งมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวสูงกว่าไทย กลับมีอัตราส่วนและค่า Gini เพียง 2.14 เท่า และ 0.495 ซึ่งแสดงถึงโครงสร้างการกระจายรายได้ที่สมดุลกว่าของมาเลเซีย
หากเปรียบเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว ความแตกต่างยิ่งชัดเจน โดยกลุ่มประเทศนอร์ดิก เช่น นอร์เวย์ และสวีเดน มีความเหลื่อมล้ำต่ำที่สุด โดยมีอัตราส่วนรายได้ของ Top 10 ต่อ Bottom 50 เฉลี่ยเพียง 1.22 เท่า และมีค่า Gini เพียง 0.387 และ 0.389 ตามลำดับ ซึ่งเป็นผลจากระบบรัฐสวัสดิการที่ครอบคลุมและโครงสร้างภาษีก้าวหน้าที่ช่วยกระจายรายได้อย่างทั่วถึง
สำหรับกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตก เช่น ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร พบว่า มีความเหลื่อมล้ำ สูงกว่ากลุ่มประเทศนอร์ดิก โดยมีอัตราส่วนรายได้ของ Top 10 ต่อ Bottom 50 เฉลี่ย 1.61 และ 1.83 เท่า และมีค่า Gini อยู่ที่ 0.451 และ 0.473 ตามลำดับ
ความเหลื่อมล้ำดังกล่าวสะท้อนโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพากลไกตลาดเสรีเป็นหลัก ถึงแม้จะมีระบบสวัสดิการสังคมและโครงสร้างภาษีก้าวหน้า แต่ก็ยังไม่เข้มข้นเท่ากลุ่มนอร์ดิก ทำให้ช่องว่างทางรายได้ยังคงอยู่ในระดับสูง แม้จะมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ใกล้เคียงกัน
ขณะที่กลุ่มประเทศเอเชียตะวันออก เช่น เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น แม้มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวสูง แต่ก็ ยังคงเผชิญความเหลื่อมล้ำมากกว่ากลุ่มประเทศนอร์ดิกและยุโรปตะวันตก โดยมีอัตราส่วนรายได้ของ กลุ่ม Top 10 ต่อ Bottom 50 อยู่ที่ 1.82 และ 2.33 เท่า และมีค่า Gini เฉลี่ย 0.471 และ 0.508 ตามลำดับ
ปัจจัยสำคัญมาจากการพึ่งพาเศรษฐกิจภาคเอกชนมากกว่าระบบสวัสดิการสังคม ทำให้ ความเหลื่อมล้ำยังคงอยู่ในระดับสูง แม้ทั้งสองประเทศจะมีเศรษฐกิจที่ก้าวหน้าแล้วก็ตาม
ความแตกต่างเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ประเทศไทยจะอยู่ในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางระดับบน แต่ยังเผชิญกับความเหลื่อมล้ำในระดับที่สูงกว่าทั้งประเทศเพื่อนบ้านและประเทศพัฒนาแล้วหลายเท่า
การแก้ไขปัญหาจึงต้องดำเนินควบคู่ไปกับการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะการพัฒนาระบบภาษีให้ครอบคลุมฐานความมั่งคั่งและทรัพย์สิน การทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจนอกระบบกลายเป็นทางการ และการลงทุนเพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจผ่านการศึกษาและการจ้างงานที่มีคุณภาพ ซึ่งตอบสนองทั้งมิติของรายได้ ความมั่นคงในอาชีพ และคุณภาพชีวิตของแรงงาน
การศึกษาแนวทางจากประเทศในกลุ่มนอร์ดิก ซึ่งสามารถรักษาความเหลื่อมล้ำให้อยู่ในระดับต่ำโดย ไม่กระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ อาจเป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยให้ไทยพัฒนานโยบายที่ตอบโจทย์มากขึ้น เพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืนและครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร