นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า สศช. ได้จัดการประชุมประจำปี 2568 ในหัวข้อยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย Thailand’s Institutional Reform ในวันที่ 26 กันยายน 2568 นี้ มีเป้าหมายสำคัญในการปรับโครงสร้างทั้งภาคการผลิต ภาคบริการ และการกระจายรายได้ให้เกิดการพัฒนาที่เป็นธรรมมากขึ้น
"สศช.จะอธิบายถึงผลการขับเคลื่อนการพัฒนาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ในช่วงที่ผ่านมา และจะชี้ให้เห็นถึงปัญหา ข้อจำกัดของการขับเคลื่อนการพัฒนายังไม่สามารถได้ผลตามที่คาดหวัง ปัญหาสำคัญคือ กลไกที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา โดยเฉพาะกลไกเชิงสถาบัน ทั้งการแก้ไขกฎระเบียบ หรือการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งส่งผลต่อการทำงานและความเชื่อมั่นในการทำงานภาครัฐ" นายดนุชา กล่าว
สำหรับสาระสำคัญของการประชุมปีของ สศช. ในปี 2568 นี้ จะสะท้อนข้อจำกัดเชิงโครงสร้างและปัจจัยเชิงสถาบันที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ แม้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566–2570) ได้ขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมการจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรจำนวนมาก แต่ผลลัพธ์เชิงประจักษ์ยังไม่ก้าวหน้ามากพอ
ขณะที่ปัญหาด้านขีดความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาคน การจัดการสิ่งแวดล้อม และระบบราชการที่ซ้ำซ้อนและขาดประสิทธิภาพ ยังส่งผลให้ความเชื่อมั่น (Trust) และความคาดหวัง (Hope) ของประชาชนที่มีต่อการพัฒนาประเทศลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ด้วยเหตุนี้ สศช. จึงหยิบยกประเด็นเชิงโครงสร้างและสถาบันที่เป็นข้อจำกัดสำคัญ 5 ด้าน ได้แก่ ระเบียบกฎหมายที่ยังไม่เอื้อต่อการแข่งขัน การทุจริตคอร์รัปชันที่บิดเบือนโครงสร้างแรงจูงใจ หลักนิติธรรมที่ยังไม่เข้มแข็ง ความเป็นประชาธิปไตยที่การตรวจสอบถ่วงดุลยังมีปัญหา และการบริหารจัดการภาครัฐที่ซ้ำซ้อนและไร้ประสิทธิภาพ
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่นำไปสู่การผูกขาด ลดโอกาสการมีส่วนร่วมของประชาชน ทำลายความสามารถในการแข่งขัน และเพิ่มความเหลื่อมล้ำในสังคม
นายดนุชา กล่าวว่า ภายในงานยังจัดเวทีเสวนาเรื่อง “ยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย ทำอย่างไรให้เป็นจริง” โดยผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายสาขา มาร่วมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและแนวทางเชิงรูปธรรม เพื่อหาทางออกที่เหมาะสมสำหรับประเทศ ประกอบด้วย
นายปิติ ตัณฑเกษม กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ศ.(พิเศษ) นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานกรรมการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) นายวิรไท สันติประภพ ประธานกรรมการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
สำหรับข้อมูลและข้อเสนอแนะที่ได้รับจากการประชุมครั้งนี้จะนำไปใช้ปรับปรุงการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ในช่วงเวลาที่เหลือ และเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการจัดทำ แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 14 (พ.ศ. 2571–2575) ให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง
“การจัดงานเสวนาครั้งนี้ ทุกฝ่ายสามารถเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการหาทางออกและสร้างแนวทางการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เพื่อทำให้กลไกการพัฒนาของภาครัฐและเอกชนสามารถขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศได้ตามที่คาดหวัง และความคิดเห็นทั้งหมด สศช. จะนำมาใช้ประกอบการจัดทำแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 14 ในช่วงถัดไปด้วย เพราะแผนฉบับนี้ สศช.ต้องการให้ทุกคนมาช่วยกันออกแบบเพื่อให้ทุกภาคส่วนได้รับประโยชน์จากการพัฒนาร่วมกัน” นายดนุชา กล่าว
นายวิรไท สันติประภพ ประธานกรรมการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาเรามีแผนพัฒนาฯ มาหลายฉบับ และทุกคนก็ทำงานกันหนักมาก เพื่อช่วยกันยกระดับเศรษฐกิจและสังคมไทย ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย
แต่ถ้าเรามองความท้าทายแล้วก็มองปัญหาที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ในทุกวันนี้ ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้ว่าเราจะทำงานกันหนักแค่ไหนก็ตาม ก็ดูเหมือนจะวิ่งตามไม่ทันประเทศที่เป็นคู่เทียบ ทั้งเรื่องของผลิตภาพ และความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยมีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งด้านรายได้ ด้านทรัพย์สิน
ส่วนด้านโอกาส ภูมิคุ้มกันของเศรษฐกิจและสังคมไทย ดูจะลดน้อยถอยลงต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นภูมิคุ้มกันตั้งแต่ระดับประเทศ ฐานะการคลัง ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายอีกหลากหลายด้าน ลงไปอยู่ถึงระดับครัวเรือน หนี้ครัวเรือนก็เพิ่มสูงขึ้นมาก และท้ายที่สุด เรื่องความสามารถในการปรับตัวให้เท่าทันกับความท้าทายใหม่ๆ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของสภาวะภูมิอากาศ เรื่องของโครงสร้างประชากร
แม้กระทั่งกับเทคโนโลยีที่กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญมากกับพัฒนาการทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ความท้าทายเหล่านี้ ทำให้เราต้องกลับมาคิดว่าทำไมประเทศไทยถึงพัฒนาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เท่าทันกับประเทศอื่น ๆ จึงต้องกลับมาดูเรื่องของโครงสร้างเชิงสถาบันกันอย่างจริงจัง แต่ถ้าโครงสร้างของระบบสังคม โครงสร้างของระบบเศรษฐกิจ และที่สำคัญคือโครงสร้างของภาครัฐ มีบทบาทสำคัญมากตั้งแต่การกำหนดนโยบาย กำหนดแรงจูงใจ เป็นผู้กำกับดูแล
เช่นเดียวกับการเป็นผู้ที่จะช่วยชี้ทิศทางให้กับภาคส่วนอื่น ๆ ในสังคม ถ้าโครงสร้างเชิงสถาบันของประเทศไทยไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ก็คงจะยากที่เราจะสามารถวิ่งได้อย่างเท่าทันกับคู่เทียบ แล้วก็เท่าทันกับความท้าทายที่เรากำลังจะต้องเผชิญต่อไป จึงต้องช่วยกันหาทางออกร่วมกันในการประชุมครั้งนี้