รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ขณะนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้จัดทำรายงานการวิเคราะห์ สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2567 ซึ่งเป็นช่วงการบริการราชการแผ่นดินของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย จากสมัยของนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน (22 สิงหาคม 2566 – 14 สิงหาคม 2567) ต่อเนื่องถึงนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร (16 สิงหาคม 2567 – 1 กรกฎาคม 2568)
โดยพบว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สถานการณ์ความยากจนของประเทศไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 พบว่าจำนวนคนจนเพิ่มขึ้นเป็น 3.43 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 4.89 ของประชากรทั้งประเทศ เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 3.41 หรือเพิ่มขึ้น 1.04 ล้านคน จากปี 2566 ที่มีจำนวน 2.39 ล้านคน
ขณะที่เส้นความยากจนปรับตัวสูงขึ้น มาอยู่ที่ 3,078 บาทต่อคนต่อเดือน โดยคนจนที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นแรงงานในภาคเกษตร คิดเป็นสัดส่วนถึง ร้อยละ 45.49 สะท้อนถึงความเปราะบางของภาคส่วนนี้ โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจภาคเกษตรเผชิญกับภาวะชะลอตัว
ทั้งนี้แม้สัดส่วนคนจน ในปีนี้ จะเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า แต่หากพิจารณาในภาพรวมระยะยาว จะพบว่าแนวโน้มความยากจนของประเทศยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเพิ่มขึ้นและลดลงในระยะสั้นสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะเชิงพลวัตของความยากจนที่ประชาชนสามารถเปลี่ยนสถานะระหว่าง “จน” และ “ไม่จน” ได้ตามปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ทั้ง
ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม การเข้าไม่ถึงสวัสดิการของรัฐ รวมทั้งเหตุการณ์เฉพาะหน้า เช่น ภัยธรรมชาติ หรือความผันผวนของราคาสินค้าเกษตร ดังนั้น แม้การเพิ่มขึ้นของจำนวนคนจน ในปีนี้อาจเป็นเพียงภาวะชั่วคราวในช่วงเปลี่ยนผ่าน แต่ก็ถือเป็นสัญญาณที่ควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
พร้อมกันนี้ ยังเป็นโอกาสสำคัญที่ภาครัฐควรใช้ในการทบทวน ปรับปรุง และยกระดับมาตรการการคุ้มครองทางสังคมและ การช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางให้มีความครอบคลุม เข้าถึงได้จริง และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อให้การดำเนิน นโยบายบรรเทาความยากจนของประเทศสามารถขับเคลื่อนได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว
อย่างไรก็ตามหากพิจารณาในระดับครัวเรือน พบว่า ในปี 2567 ประเทศไทยมีครัวเรือนยากจนประมาณ 1.03 ล้าน ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 3.68 ของครัวเรือนทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากประมาณ 6.86 แสนครัวเรือน ในปี 2566 โดย ในพื้นที่นอกเขตเทศบาลมีสัดส่วนครัวเรือนยากจนสูงกว่าในพื้นที่เขตเทศบาลถึง 1.79 เท่า
จำนวนคนจนในทุกระดับเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน โดย กลุ่มคนจนมาก หรือกลุ่มที่เผชิญกับความยากจนขั้นรุนแรง เพิ่มขึ้นจาก 6.28 แสนคน (หรือร้อยละ 0.90 ของประชากรทั้งหมด) ในปี 2566 เป็น 8.79 แสนคน (ร้อยละ 1.25) ในปี 2567
กลุ่มคนจนน้อย เพิ่มขึ้นจาก 1.76 ล้านคน (ร้อยละ 2.52) ในปี 2566 - เป็น 2.55 ล้านคน (ร้อยละ 3.64) ในปี 2567 และ กลุ่มคนเกือบจน หรือกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะตกอยู่ใน ภาวะยากจน เพิ่มขึ้นจาก 3.97 ล้านคน (ร้อยละ 5.67) ในปี 2566 เป็น 4.29 ล้านคน (ร้อยละ 6.10) ในปี 2567
สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการเสริมสร้างระบบการดูแลกลุ่มเปราะบางให้ครอบคลุมทุกระดับของ ความยากจน ท่ามกลางปัจจัยเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพากลุ่มคนเปราะบางต่อความยากจนมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นในทุกระดับความรุนแรง กลุ่ม "คนจนมาก" ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีระดับรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคต่ำกว่าเส้นความยากจนเกินกว่า 20%
ส่วนช่องว่างความยากจนและระดับความรุนแรงของปัญหาความยากจนเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน โดย ช่องว่างความยากจน เพิ่มขึ้นจาก 0.39 ในปี 2566 เป็น 0.68 ในปี 2567 สะท้อนว่าคนจนในปีนี้มีรายจ่าย เพื่อการอุปโภคบริโภคต่ำกว่าเส้นความยากจนมากกว่าปีที่ผ่านมา ในขณะที่ระดับความรุนแรงของปัญหาความยากจน ซึ่งสะท้อนถึงความยากลำบากในการดำรงชีพของคนจน ก็เพิ่มขึ้นจาก 0.08 เป็น 0.15 ในช่วงเวลาเดียวกัน
ภาพรวมสถานการณ์ความยากจนในระดับจังหวัดแย่ลงอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดย ส่วนใหญ่มีสัดส่วนคนจนเพิ่มขึ้น มีเพียง 15 จังหวัด ที่มีสัดส่วนคนจนลดลงจากปี 2566 ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ สุพรรณบุรี ตราด พังงา สุราษฎร์ธานี กำแพงเพชร นครราชสีมา เพชรบุรี จันทบุรี เพชรบูรณ์ อุดรธานี กาญจนบุรี อุตรดิตถ์ พิจิตร และยโสธร
ครัวเรือนยากจนมี ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือน อยู่ที่ 7,938 บาท คิดเป็นค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อเดือนที่ 2,375 บาท โดยส่วนใหญ่เป็นค่าอาหารและเครื่องดื่ม (ร้อยละ 51.30) รองลงมาคือค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัย (ร้อยละ 16.86) และค่าเดินทางและการสื่อสาร (ร้อยละ 13.16)
แม้ว่าสัดส่วนค่าใช้จ่ายในแต่ละประเภทอาจเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามบริบททางเศรษฐกิจ แต่โครงสร้างค่าใช้จ่ายหลักยังคงสอดคล้องกับอดีต ซึ่งสะท้อนถึงวิถีชีวิตของครัวเรือนยากจนที่เน้นความจำเป็นพื้นฐาน ได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย และการเดินทางเพื่อประกอบอาชีพหรือเข้าถึงบริการจำเป็น รวมถึงการสื่อสารเพื่อรับข้อมูลข่าวสารและโอกาสทางเศรษฐกิจ