สศช.ผ่าปัญหา ‘ความเหลื่อมล้ำ’ บี้เลิกนโยบายพัฒนาประเทศแบบเหมารวม

17 ก.ย. 2568 | 07:11 น.
อัปเดตล่าสุด :17 ก.ย. 2568 | 07:14 น.

สศช. เปิดความจริงกับปัญหา ‘ความเหลื่อมล้ำ’ ของประเทศไทย ชี้การพัฒนาเศรษฐกิจที่ผ่านมา ทำให้เกิดความแตกต่างเชิงโครงสร้างระหว่างภูมิภาค แนะเลิกนโยบายพัฒนาประเทศแบบเหมารวม

รายงานข่าวจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับรากฐานความเหลื่อมล้ำ ระหว่างภูมิภาคของไทย ภายใต้รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2567 มีเนื้อหาที่น่าสนใจเกี่ยวกับปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศไทยที่ยังมีความเหลื่อมล้ำระหว่างภูมิภาค โดยระบุว่า

การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดความแตกต่างเชิงโครงสร้างระหว่างภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ ความไม่สมดุลนี้สะท้อนชัดทั้งในมิติเศรษฐกิจและมิติสังคม และได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและการเติบโตของประเทศในระยะยาว

ทั้งนี้ในมิติเศรษฐกิจ พบว่า ความเจริญยังคงกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพมหานครและภาคกลาง โดย กรุงเทพฯ มีแรงงานถึงร้อยละ 25.48 อยู่ในภาคบริการสมัยใหม่ ซึ่งครอบคลุมสาขาอาชีพที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและบริการขั้นสูง อาทิ การขนส่ง การสื่อสาร การเงิน และการแพทย์

ขณะที่ภาคกลางทำหน้าที่เป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมหลักของประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ความเข้มแข็งของกลไกเศรษฐกิจในทั้งสองพื้นที่ได้ดึงดูดเงินลงทุนและแรงงานจำนวนมาก สร้างความได้เปรียบเชิงโครงสร้างเหนือภูมิภาคอื่น

ในทางตรงกันข้าม แม้ว่าจะมีการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษในภาคตะวันออกเฉียงเหนือภาคเหนือ และภาคใต้ แต่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคใต้ ยังคงมีโครงสร้างเศรษฐกิจ ที่พึ่งพาภาคเกษตรกรรมเป็นหลัก โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีแรงงานในภาคเกษตร มากกว่าครึ่งหนึ่งของแรงงานทั้งภูมิภาค 

การพึ่งพาเกษตรกรรมในระดับสูงเช่นนี้ได้ส่งผลให้ครัวเรือน ในพื้นที่มีความเปราะบางทางเศรษฐกิจ และมีความเสี่ยงต่อความยากจนมากกว่าภูมิภาคอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ภัยธรรมชาติ หรือความผันผวน ของราคาผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อรายได้และความมั่นคงในชีวิตของครัวเรือน

ทั้งนี้ ผลกระทบจากภัยธรรมชาติมิได้จำกัดเฉพาะภาคเกษตรกรรมเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อเนื่องไปสู่อุตสาหกรรม แปรรูปทางการเกษตรและภาคบริการที่เกี่ยวข้อง ทั้งทางตรงและทางอ้อมในระบบเศรษฐกิจโดยรวม

ขณะที่ในมิติสังคม พบว่า ภาคเหนือมีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป สูงถึงร้อยละ 31.90 และ ภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ที่ร้อยละ 28.41 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั้งประเทศที่ร้อยละ 24.97 สถานการณ์ดังกล่าวอาจนำไปสู่ความท้าทายด้านกำลังแรงงาน และเพิ่มภาระด้านการดูแลผู้สูงอายุในระยะยาว 

ในทางกลับกัน กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ มีสัดส่วนประชากรวัยแรงงานสูงที่สุด สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทในการดึงดูดแรงงานจากภูมิภาคต่าง ๆ ให้เข้ามาทำงานและอยู่อาศัย 

ขณะที่ ภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีสัดส่วนประชากรวัยเด็กสูงที่สุดในประเทศ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพด้านทุนมนุษย์ในระยะยาว ซึ่งจะเกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม หากมีการลงทุนที่เหมาะสม และมีประสิทธิภาพในด้านการศึกษาและการพัฒนาทักษะ เพื่อเตรียมเยาวชนให้พร้อมเป็นแรงงานคุณภาพในอนาคต

ดังนั้น นโยบายการพัฒนาประเทศในลักษณะเหมารวม (One-Size-Fits-All) จึงไม่อาจตอบสนองต่อความท้าทายและบริบทเฉพาะของแต่ละภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกต่อไป โดยแนวทางการพัฒนาต้องปรับเปลี่ยนไปสู่ยุทธศาสตร์เชิงพื้นที่ที่คำนึงถึงศักยภาพและข้อจำกัดเฉพาะของแต่ละพื้นที่ 

โดยมุ่งเน้นการกระจายฐานเศรษฐกิจสู่ภูมิภาคเกษตรกรรม การพัฒนาระบบรองรับสังคมสูงวัยในภาคเหนือและการลงทุนในทุนมนุษย์ในภูมิภาคที่มีสัดส่วนประชากรวัยเด็กสูง เพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ และส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สมดุลและยั่งยืนในทุกภูมิภาคของประเทศต่อไป