KEY
POINTS
ธุรกิจการค้าทองคำในไทยแสดงการเติบโตอย่างมหาศาลในปี 2567 สะท้อนจากผลประกอบการของผู้เล่นรายใหญ่ที่พุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะบริษัท ฮั่วเซ่งเฮง คอมโมดิทัซ จำกัด ที่สร้างสถิติใหม่ด้วยรายได้ 2.66 ล้านล้านบาท ขึ้นแท่นรายได้สูงสุดของประเทศ แซงหน้าแม้แต่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ท่ามกลางความสำเร็จที่น่าตื่นตาตื่นใจนี้ อุตสาหกรรมทองคำไทยกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนจากมาตรการควบคุมใหม่ที่ภาครัฐกำลังพิจารณา หลังเงินบาทแข็งค่าพุ่งแตะ 31.98 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเชื่อว่าได้รับแรงหนุนจากการเทรดทองคำออนไลน์ที่เฟื่องฟู
จากข้อมูลการจัดอันดับรายได้นิติบุคคลปีงบการเงิน 2567 ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า บริษัทที่ประกอบธุรกิจการค้าทองคำหลายแห่งติดอันดับในท็อป 20 ของประเทศ โดยมี บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง คอมโมดิทัซ จำกัด ครองแชมป์รายได้สูงสุดของประเทศด้วยยอดรายได้ 2.66 ล้านล้านบาท สูงกว่าบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) บริษัทพลังงานแห่งชาติของไทย ที่มีรายได้เป็นอันดับ 2 ของประเทศ 1.85 ล้านล้านบาท
บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง คอมโมดิทัซ จำกัด แสดงผลประกอบการเติบโตแบบก้าวกระโดด ด้วยรายได้รวมปี 2567 จำนวน 2.66 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 97.43% จากปีก่อน ขณะที่ต้นทุนขายจำนวน 2.65 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นในอัตราเกือบเท่ากัน 97.45% แต่บริษัทยังคงสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ดี
สิ่งที่น่าสนใจคือ กำไรสุทธิของบริษัทเพิ่มขึ้น 89.38% เป็น 547.8 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าแม้จะเป็นธุรกิจที่มี Margin ต่ำ เพราะเป็นธุรกิจแบบซื้อมาขายไป แต่ปริมาณการซื้อขายที่มหาศาลทำให้ได้กำไรสูง
บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด ติดอันดับที่ 3 ของบริษัทที่มีรายได้สูงสุดของไทยด้วยรายได้ 1.432 ล้านล้านบาท เติบโต 109.55% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตสูงที่สุดในกลุ่ม ขณะที่ต้นทุนขายอยู่ที่ 1.431 บาท หรือเพิ่มขึ้น 109.58% ส่งผลให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 87.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 61.03% เป็น ซึ่งต่ำกว่าอัตราการเติบโตของรายได้ แสดงให้เห็นว่าการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นส่งผลต่อ Profit Margin
ขณะที่บริษัทอื่นเติบโต บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กลับเผชิญกับความท้าทาย เมื่อรายได้ลดลง 13% จาก 1.066 ล้านล้านบาทในปี 2566 เหลือ 9.28 แสนล้านบาท ในปี 2567 ทำให้บริษัทยังคงสามารถรักษากำไรสุทธิได้ที่ระดับ 73 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.50%
บริษัท อินเตอร์โกลด์ โกลด์เทรด จำกัด แสดงการเติบโตที่มั่นคง ด้วยรายได้เพิ่มขึ้น 36.69% และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 32.54% ในขณะที่ บริษัท ออโรร่า เทรดดิ้ง จำกัด มีการเติบโตของรายได้ 39.24% และกำไรสุทธิพุ่งขึ้น 422.74% จากฐานที่ต่ำ
อย่างไรก็ตาม บริษัท เบสตั้น โกลด์ เทรดดิ้ง จำกัด เผชิญกับปัญหาการขาดทุนที่เพิ่มขึ้น โดยขาดทุนสุทธิ 128.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน แสดงให้เห็นว่าการแข่งขันในตลาดนี้ไม่ได้รับประกันความสำเร็จสำหรับทุกราย
การเติบโตที่พุ่งทยานของอุตสาหกรรมทองคำเกิดขึ้นควบคู่กับการที่ราคาทองคำโลกปรับขึ้นเกือบ 40% ตั้งแต่ต้นปี และมูลค่าส่งออกทองคำไทยช่วง 7 เดือนแรกปี 2568 พุ่ง 69% เป็น 254,000 ล้านบาท แต่ก็นำมาซึ่งปัญหาใหม่ เมื่อเงินบาทแข็งค่าแตะ 31.98 บาทต่อดอลลาร์ สูงสุดในรอบ 4 ปี ครองแชมป์การแข็งค่านำภูมิภาค ส่งผลกดดันต่อผู้ส่งออกและนักลงทุน
ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และกระทรวงการคลังจึงอยู่ระหว่างหารือแนวทางจัดเก็บภาษีจากการซื้อขายทองคำ โดยเฉพาะธุรกรรมผ่านช่องทางออนไลน์ที่ชำระเป็นเงินบาท เพื่อสกัดแรงหนุนให้เงินบาทแข็งค่าเร็วเกินไป
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เตือนว่า หากมีการจัดเก็บภาษีทองคำแท่ง อาจทำให้ไทยถอยหลังจากการเป็นศูนย์กลางทองคำของภูมิภาค "ขณะนี้ธุรกรรมอยู่บนโต๊ะ แต่ถ้ามีการจัดเก็บภาษี ทุกอย่างอาจจะอยู่ใต้ดินหรือใต้โต๊ะทั้งหมด"
นายกฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท MTS Gold ย้ำว่า การแข็งค่าของเงินบาทไม่ใช่ผลโดยตรงจากการส่งออกทองคำ แต่เกิดจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก โดยผู้ประกอบการทั้ง 14 ราย มีมติคัดค้านการจัดเก็บภาษีจากการซื้อขายทองคำออนไลน์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงิน ธนาคารกรุงไทย มองว่า ควรแก้ที่ต้นเหตุโดยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้น แทนการจัดเก็บภาษีซึ่งอาจจำกัดเสรีภาพของนักลงทุน