เอกชนค้านเก็บภาษีทอง หวั่นธุรกรรมใต้ดินพุ่ง ดึงไทยถอยหลังเข้าคลอง

17 ก.ย. 2568 | 05:26 น.
อัปเดตล่าสุด :17 ก.ย. 2568 | 05:28 น.

ทองคำโลกพุ่งไม่หยุด กดเงินบาทแข็งค่าทะลุ 31.98 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนหนึ่งจากโฟลว์ทองคำพุ่ง คลังจ่อเก็บภาษีทองคำแท่ง และ แพลตฟอร์มออนไลน์ลงทุนทอง หวังลดแรงหนุนเงินบาทและความร้อนแรงของตลาด 

เงินบาทแข็งค่าแตะ 31.98 บาทต่อดอลลาร์ ครองแชมป์ภูมิภาค ทำให้ผู้ส่งออกและตลาดทองคำต้องจับตาแรงกดดัน ขณะที่ธปท.ติดตามความผันผวนอย่างใกล้ชิดและเตรียมหามาตรการบริหารความเสี่ยงเพื่อดูแลเศรษฐกิจไทย 

การเคลื่อนไหวของเงินบาทต่อดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น 6.8% ปิดที่่ระดับ 31.98 บาท/ดอลลาร์เมื่อวันที่ 15 กันยายน จาก 34.10 บาท/ดอลลาร์ในสิ้นปี 67 ซึ่งเป็นการแข็งค่านำสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเซีย เห็นได้จากเยนแข็งค่า 6.6% ดอลลาร์สิงคโปร์ 6.5% ริงกิตมาเลเซีย 6.4% เงินหยวนจีน 2.5% และเปโซ ฟิลิปินส์ 1.4%  

เงินบาทยังแข็งค่าทำสถิติแตะระดับ 31.78 บาทต่อดอลลาร์สูงสุดในรอบ 4 ปี จนกดดันต่อผู้ส่งออกและนำเข้า ซึ่งคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) ได้ออกมาตั้งข้อสังเกตุถึงความผิดปกติบางอย่าง โดยเฉพาะการส่งออก “ทองคำ” ซึ่งอาจจะมีผลทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็ว 

ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ระบุว่า ตั้งแต่ต้นปี เงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 7% โดยเป็นการแข็งค่านำสกุลภูมิภาค ทั้งจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลมากกว่าคาดและราคาทองคำที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งธปท.อยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางการลดผลกระทบจากราคาทองคำต่อค่าเงินบาท

การเคลื่อนไหวของราคาทองคำในประเทศ

ดังนั้น จึงมีกระแสข่าวว่า ธปท. และกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างหารือแนวทางจัดเก็บภาษีจากการซื้อขายทองคำในประเทศ โดยเฉพาะธุรกรรมผ่านช่องทางออนไลน์และชำระเป็นเงินบาท เพื่อสกัดแรงหนุนให้เงินบาทแข็งค่าเร็ว แต่อาจจะยกเว้นการซื้อขายทองคำด้วยดอลลาร์หรือตลาดล่วงหน้า 

สำหรับมูลค่าส่งออกทองคำไทยเดือนช่วง 7 เดือนปี 68(ม.ค.-ก.ค.68) รวมทั้งสิ้น 254,000 ล้านบาท(ราว 8 พัันล้านดอลลาร์) เพิ่มขึ้น 69%จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเฉพาะการส่งออกไปกัมพูชาที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ จนมีเสียงเรียกร้องให้สอบสวน ขณะที่ราคาทองคำโลกปรับขึ้นเกือบ 40%จากต้นปี 

แหล่งข่าววงในเปิดเผยกับ“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า การเคลื่อนไหวของเงินบาท นอกจากแรงกดดันจากเงินดอลลาร์อ่อนค่าแล้ว ยังขึ้นอยู่กับราคาทองคำในตลาดโลกด้วย ดังนั้นแนวทางแก้ปัญหาเบื้องต้น ควรต้องแก้ที่ความเชื่อมโยงหรือความสัมพันธ์เงินบาทกับทองคำ คือ ธปท.ควบคุมการเทรด(ที่ไม่ใช่โฟลว์ธุรกรรมทองคำปกติที่มียอดส่งออก) แต่ต้องแก้ที่ความเชื่อมโยงหรือความสัมพันธ์กันคือ ราคาทองคำจะ Move เยอะๆ มักเกิดขึ้นในฝั่งเวลาของต่างประเทศ  

โดยเฉพาะฝั่งสหรัฐฯ ตัวเลขจะออกมา 19.30 น. (ขณะที่ตลาดไทยปิด) แบงก์ชาติที่นิวยอร์คต้องมอนิเตอร์ว่า มี Event of Risk เกิดขึ้น วงจะสูงขึ้นและทองคำมีความอ่อนไหวหรือ sensitive แล้วก็จะลากเงินบาทไปด้วย  

จุดนี้เป็นจุดที่ต้องเพิ่มมากขึ้น เพื่อลดความผันผวน แบงก์ชาติก็ต้องไปเพิ่มภาระให้โต๊ะห้องค้าที่นิวยอร์กทำงานมากขึ้น Active มากขึ้น เพราะสิ่งที่เราเห็นคือ ความผันผวนของเงินบาทบางช่วงสูงขึ้นมากและเห็นว่า จังหวะที่ราคาทองคำพุ่งแล้วจะลากให้ความผันผวนเงินบาทสูงขึ้นด้วย 

สอดคล้องแหล่งข่าวจากตลาดเงินตลาดทุนที่ระบุว่า กรณีการส่งออกทองคำนั้น จะเห็นยอดการส่งออกที่เกินดุลการค้า ซึ่งดุลบัญชีเดินสะพัดที่เพิ่มสูงขึ้น สอดคล้องกับราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้นด้วย ซึ่งมีความแปลกที่น่า จะสะท้อนความผิดพลาด หรือความคลาดเคลื่อนในการเก็บธุรกรรมบางอย่าง ซึ่งเป็นจุดที่น่าจับตา ทั้งแบงก์ชาติ กระทรวงพาณิชย์ ศุลกากรและกระทรวงการคลัง น่าจะนำไปวิเคราะห์ว่า ฟันด์โฟลว์ที่เกิดขึ้นนั้นเกี่ยวข้องกับโฟลว์ธุรกรรมของทองคำมากน้อยแค่ไหน 

'ปีนี้ราคาทองคำขาขึ้น All Time High มาตลอด Effect จึงเห็นชัดเจน ฉะนั้นต้องบอกว่า การแข็งค่าของเงินบาทไม่ใช่แค่ดอลลาร์อ่อนอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของโฟลว์ธุรกรรมทองคำ'

ทั้งนี้ช่วงหลังจากการพัฒนาเทคโนโลยีทำให้รายย่อยเข้าถึงการเทรดทองที่สะดวกมากขึ้น เช่น การพัฒนาแอปพลิเคชั่น สำหรับออมทอง หรือ ลงทุนทอง โดยซื้อขายทองออนไลน์ ซึ่งจะมีทั้ง 2 ส่วนคือ ส่วนลูกค้าที่ซื้อทองคำเป็นเงินบาทโดยตรงเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าลูกค้าจะซื้อทองคำเป็นเงินบาท แต่เชื่อว่า ในมุมร้านทองจะมีหลังบ้านไปทำตรงนี้ด้วย 

อีกขาคือ แอปพลิเคชั่นที่ซื้อทองคำเป็นสกุลเงินดอลลาร์ ระยะหลังฮิตมาก ก็จะมีโฟลว์ลักษณะนี้มากขึ้นด้วย ทำให้ “เฮดจ์ฟันด์” เห็นพฤติกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะมีมุมองว่า ราคาทองคำปรับขึ้น ดังนั้น เงินบาทควรจะทำผลงานได้ดีกว่าสกุลเงินอื่น  

เพราะฉะนั้น จึงเป็นโอกาสให้ “เฮดจ์ฟันด์”เข้ามาเก็งกำไรในจุดที่คิดว่า เงินบาทจะแข็งค่ากว่าสกุลเงินอื่น จุดนี้คิดว่า จะมีโฟลว์ธุรกรรมของ “เฮดจ์ฟันด์” ที่อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างค่าเงินกับราคาทองคำเข้ามาเก็งกำไรด้วย

'แบงก์ชาติต้องไปนั่งวิเคราะห์กับหน่วยงานอื่นๆว่า มันมีความสัมพันธ์จริงอย่างที่นักวิเคราะห์ไทยและนักวิเคราะห์ต่างประเทศสงสัยและคิดกันไว้หรือเปล่า เพราะความสัมพันธ์ไปด้วยกันค่อนข้างสูง เคลื่อนไหวสอดคล้องกันมาก ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ'

สำหรับแนวทางการจัดเก็บภาษีทองคำแท่งแหล่งข่าวรายเดิมระบุว่า การเก็บภาษีอาจจะไม่ได้มีผลมากขนาดนั้น แต่ควรทำทองคำให้เหมือนสินทรัพย์อันหนึ่ง ทำให้คนซื้อคนขายมีความระมัดระวัง

ยกตัวอย่าง ในสหรัฐอเมริกา การซื้อขายหุ้นระยะสั้น จะโดนเก็บภาษีค่อนข้างสูง ถ้าไม่อยากเสียภาษีกำไรหรือ Capital Gain ผู้ลงทุนต้องถือหุ้นยาว (ในขณะที่ในเมืองไทยไม่มี) การซื้อขายทองคำก็เช่นกัน ถ้ามีเรื่องภาษีเข้ามา เวลาคนจะซื้อจะขาย จะต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น 

นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า เท่าที่รายงานประเด็นที่หารือธปท.ในวันที่ 15 ก.ย.ที่ผ่านมา เบื้องต้นอาจจะมีระบบภาษีใหม่ ซึ่งยังไม่แน่ชัดในรายละเอียดว่า จะจัดเก็บภาษีจากการซื้อหรือขายทองคำแท่งอย่างไร แต่มีการชี้แจงไปว่า ขณะนี้ไทยเป็นศูนย์กลางทองคำของภูมิภาค หากจะมีเรื่องการจัดเก็บภาษีทองคำแท่งเข้ามาเกี่ยวข้อง อาจจะทำให้ไทยถอยหลังเข้าคลองหรือไม่ 

นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ

'ขณะนี้ธุรกรรมอยู่บนโต๊ะ แต่ถ้ามีการจัดเก็บภาษีเข้ามาเกี่ยวข้องต่อไป ทุกอย่างอาจจะอยู่ใต้ดินหรือใต้โต๊ะทั้งหมด ซึ่งทุกอย่างไม่โปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้'

อีกทั้ง ช่วงที่ผ่านมา หลายประเทศเข้ามาศึกษาระบบการบริหารทองคำของเมืองไทย เช่น มาเลเซียเคยมีการจัดเก็บภาษีทองคำ และได้ศึกษาระบบการบริหารทองคำในไทย ต่อมามาเลเซียได้มีการลดอัตราภาษีลงมาเพื่อการแข่งขัน และหลายประเทศอยากเข้ามาแข่งขันอยู่แล้ว

ดังนั้น ประเด็นการจัดเก็บภาษีนั้นยังไม่ชัดเจน ต้องดูนโยบายและต้องหารือกันอีกและควรต้องศึกษาให้ดีก่อน 

ด้านน.พ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท MTS Gold แม่ทองสุกกล่าวว่า ในการหารือร่วมกับธปท.เมื่อวันที่ 15 กันยายน มีการหยิบยกประเด็นค่าเงินบาทและบทบาทของอุตสาหกรรมค้าทองคำในระบบเศรษฐกิจไทยมาหารือร่วมกัน

น.พ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท MTS Gold แม่ทองสุก

ยืนยันว่า การแข็งค่าของเงินบาทในระยะนี้ ไม่ใช่ผลโดยตรงจากการส่งออกทองคำ แต่เกิดจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่มีการส่งออกดีขึ้น ทำให้เงินบาทแข็งค่า โดยปัจจัยภายนอกเป็นสำคัญ

ดังนั้นแนวทางที่ถูกต้องคือ การหามาตรการร่วมกัน เพื่อดูแลค่าเงินบาทไม่ให้กระทบเศรษฐกิจเกินไป ผู้ประกอบการทั้ง 14 ราย จึงมีมติชัดเจนคัดค้านการจัดเก็บภาษีจากการซื้อขายทองคำออนไลน์ในรูปเงินบาท  เพราะจะกระทบเชิงลบต่ออุตสาหกรรมค้าทองคำอย่างรุนแรง เปรียบได้กับกรณีการเก็บภาษีจากกำไรซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งในต่างประเทศพิสูจน์แล้วว่า เป็นมาตรการที่ทำให้ตลาดซบเซา 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคาร กรุงไทยกล่าวกับ“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า แนวทางที่จะลดความผันผวนของเงินบาทนั้น ส่วนตัวมองว่า ควรแก้ที่ต้นเหตุ โดยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการใช้เครื่องมือมากขึ้นในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคาร กรุงไทย

โดยเฉพาะพิจารณา “โครงการ Option ช่วยชาติ” กลับมาใช้อีกรอบ เพื่อลดความผันผวนของเงินบาท  นอกเหนือจากการให้ความรู้กับผู้ประกอบการในการป้องกันความเสี่ยงและพยายามส่งเสริมให้ผู้นำเข้าหรือส่งออกใช้สกุลเงินท้องถิ่นมากขึ้นพร้อมเข้าไปศึกษาปัญหาว่าจริงๆ คืออะไร


 ในแง่ของการจัดเก็บภาษีทองคำนั้น ส่วนตัวมองว่า เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องใช้เวลาในการศึกษาและดูเป็นการจำกัดเสรีภาพคนหรือไม่ เพราะการลงทุนในหุ้นไม่เก็บภาษี แต่ทำไมเก็บภาษีทองคำ ดังนั้น ต้องแก้ที่ต้นเหตุคือทำให้ผู้ประกอบการป้องกันความเสี่ยงก่อน เช่นการให้ความรู้ในการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายขึ้น

 

หน้า 1  หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,132  วันที่ 18 - 20 กันยายน พ.ศ. 2568