KEY
POINTS
นายเซาไก ฟาน (Shaokai Fan) หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน) และหัวหน้าฝ่ายธนาคารกลางระดับโลก ของสภาทองคำโลก (World Gold Council: WGC) เผยกับ 'ฐานเศรษฐกิจ' ว่า ประเมินภาพรวมตลาดทองคำในช่วงเดือนกันยายน 2568 ยังคงค่อนข้างแข็งแกร่งมากสำหรับราคาทอง
โดยราคาได้ขยับหลุดออกจากกรอบเดิมที่เคยเคลื่อนไหวในช่วงเดือนพฤษภาคม - สิงหาคมที่ผ่านมา และขณะนี้ได้เข้าสู่รอบใหม่ของการทำราคาสูงสุดใหม่ ปัจจัยสำคัญที่หนุนราคาทองคำให้พุ่งขึ้นมาจากหลายประการ อาทิ ความกังวลอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
รวมถึงความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้เพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าจะเห็นผลหลังการประชุมของ Fed ในเดือนกันยายนนี้ นอกจากนี้ รายงานตัวเลขการจ้างงานในสหรัฐฯ ที่น่าผิดหวัง ก็เป็นอีกปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้ตลาดคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed มากขึ้น ซึ่งส่งผลเชิงบวกต่อราคาทองคำ
ราคาทองคำได้พุ่งสูงขึ้นไปทำสถิติใหม่ที่ระดับ 3,600 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งนับเป็นการออกจากกรอบราคาที่เคยเคลื่อนไหวมาตลอด 3-4 เดือนก่อนหน้านี้ และได้เข้าสู่ 'First Cycle of New High' หรือวงจรใหม่ของราคาทองที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์แล้ว
นอกเหนือจากนี้ ปัจจัยทางการเมืองและสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับนานาประเทศ คำวินิจฉัยของศาลต่อประเด็นการใช้อำนาจของประธานาธิบดีทรัมป์ ในการรีดภาษีการค้า แรงกดดันให้ลดอัตราดอกเบี้ย และปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างรัสเซียกับยูเครน ล้วนมีผลกระทบอย่างมากต่อราคาทองคำ ทั้งนี้ ความขัดแย้งในยูเครน แม้ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ แต่มองว่าปัจจัยนี้ส่วนใหญ่ได้ถูกสะท้อนอยู่ในราคาไปมากแล้ว
เมื่อถามว่าทองคำยังคงเป็นการลงทุนที่ดีอยู่หรือไม่ แม้ราคาจะพุ่งสูงถึงอย่างต่อเนื่อง มองว่าทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยและมีความน่าสนใจอยู่ ยังคงคิดว่า ทองคำเป็นส่วนสำคัญในพอร์ตโฟลิโอของนักลงทุนเกือบทุกคน และยังคงเป็นการลงทุนที่ดี
ด้านกลยุทธ์ในการลงทุนนั้น มองว่าโดยปกติแล้วนักลงทุนมักจะมองการซื้อทองคำเพื่อเก็งกำไร โดยหวังว่าราคาจะปรับขึ้น แต่สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาเมื่อตัดสินใจลงทุนทองคำ คือ บทบาทของทองคำต่อภาพรวมของพอร์ตโฟลิโอ การลงทุนในทองคำไม่เพียงแต่เพื่อการเก็งกำไรเท่านั้น
แต่ยังช่วยในเรื่องของการ กระจายความเสี่ยงของพอร์ต และเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากภาวะขาลงได้ด้วย ซึ่งประโยชน์เหล่านี้เป็นสิ่งที่คงอยู่ไม่ว่าราคาทองคำจะสูงขึ้นหรือลดลงก็ตาม ดังนั้น นักลงทุนควรมุ่งเน้นไปที่คุณสมบัติที่เป็นประโยชน์เหล่านี้ของทองคำควบคู่ไปด้วย
ทั้งนี้ มองว่าทองคำยังคงเป็นหลักประกันความมั่นคงทางการเงินที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงที่น่าเชื่อถือ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์
โดยคุณสมบัติอันโดดเด่นของทองคำในช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอน ยังคงดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนไทยรุ่นใหม่ควบคู่ไปกับนักลงทุนที่มีประสบการณ์ ในขณะที่ประเทศไทยและโลกกำลังเผชิญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ทองคำยังคงมีข้อได้เปรียบสำคัญทั้งในด้านสภาพคล่องและมูลค่าที่ทนต่อวิกฤต ซึ่งช่วยปกป้องนักลงทุนจากพายุเศรษฐกิจในปัจจุบัน
ผลสำรวจธนาคารกลางประจำปีของสภาทองคำโลก แสดงให้เห็นว่า 95% ของผู้จัดการทุนสำรองเชื่อว่าทุนสำรองทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นในอีก 12 เดือนข้างหน้า เราได้เห็นแล้วว่าธนาคารกลางทั่วโลกยังคงทยอยซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง แม้จะในอัตราที่ช้าลง โดยเพิ่มขึ้น 166 ตันในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 และถึงแม้จะชะลอตัวลง การซื้อยังคงอยู่ในระดับที่สูงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังไม่คลี่คลาย
นักลงทุนไทยจึงควรพิจารณาให้ทองคำเป็นสินทรัพย์หลักในการลงทุนเชิงกลยุทธ์ระยะยาวจนถึงปี 2569 เนื่องจากการปรับขึ้นของอัตราภาษี ภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ นโยบายการเงินของธนาคารกลางที่ยังไม่แน่นอน และความเสี่ยงทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้นทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
สำหรับความต้องการทองคำโดยรวมของผู้บริโภคในประเทศไทยนั้น มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จาก 37 ตันในปี 2564 เป็น 38 ตันในปี 2565 เพิ่มขึ้นเป็น 43 ตันในปี 2566 และ 49 ตันในปี 2567 ไทยได้ก้าวขึ้นมาเป็นตลาดที่แข็งแกร่ง โดยติดอันดับที่ 7 ของโลกในปีที่ผ่านมาในด้านความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำที่ 40 ตัน คิดเป็นการเติบโตที่แข็งแกร่งถึง 17% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
แม้ว่าราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้นจะส่งผลให้ความต้องการทองคำเครื่องประดับทั่วโลกลดลง 11% แต่ตลาดทองคำในประเทศไทยยังคงรักษาเสถียรภาพได้เป็นอย่างดี โดยมีอัตราการลดลงเพียง 2% เท่านั้น
เมื่อพิจารณาผลประกอบการในไตรมาสแรกของปีนี้ ประเทศไทยยังคงเห็นความต้องการการลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญทองคำที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยปริมาณการลงทุนรวมเพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 7.4 ตัน ซึ่งนับเป็นไตรมาสแรกที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 2562
ส่งผลให้ความต้องการทองคำผู้บริโภคโดยรวมของประเทศไทยอยู่ที่ 9.1 ตัน เพิ่มขึ้น 17% และถือเป็นการเติบโตรายไตรมาสด้านความต้องการทองคำภาคผู้บริโภคที่สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทั้งนี้ ความต้องการทองคำโดยรวมของผู้บริโภคในประเทศไทยยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสที่ 2 โดยปริมาณความต้องการทองคำรวมเพิ่มขึ้นถึง 12 ตัน หรือเติบโตกว่า 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ในขณะที่ความต้องการเครื่องประดับทองคำในไทยสอดคล้องกับทิศทางตลาดโลก โดยปริมาณลดลง 20% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อโดยรวม
แนวโน้มตลาดในภูมิภาคอาเซียนแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค โดยหันมานิยมเครื่องประดับที่มีความบริสุทธิ์ต่ำลง ทั้งนี้ นักลงทุนไทยแสดงความเชื่อมั่นผ่านการลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญทองคำที่เพิ่มขึ้นถึง 10 ตัน เพิ่มขึ้น 38% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ในกลุ่มประเทศอาเซียน ประเทศไทยรายงานการเติบโตอย่างแข็งแกร่งด้านความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำเมื่อเทียบรายไตรมาส โดยเพิ่มขึ้นถึง 35% ในทางตรงกันข้าม ประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคกลับมีความต้องการทองคำที่ลดลง ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า ทองคำยังคงเป็นทางเลือกการลงทุนที่ได้รับความเชื่อมั่นและความนิยมอย่างสูงในประเทศไทย
จากการศึกษาพบว่าคนไทยมองทองคำเป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทนในระยะยาวและเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน โดยการเติบโตอย่างต่อเนื่องของแพลตฟอร์มการออมทองคำแท่งในรูปแบบดิจิทัล อาทิ แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ได้มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นความต้องการซื้อทองคำในตลาดให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ความนิยมในโครงการออมทองและแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ทำให้การลงทุนในทองคำเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนรุ่นใหม่และนักลงทุนรายย่อย ส่งผลให้บริการทางการเงินด้านนี้แพร่หลายในวงกว้าง
อุปสงค์ทองคำที่ยังคงแข็งแกร่งประกอบกับเทคโนโลยีที่มีอยู่ ก่อให้เกิดนวัตกรรมทางการเงิน โดยกระตุ้นการเติบโตของผลิตภัณฑ์การลงทุนรูปแบบใหม่ ซึ่งรวมถึงโซลูชันที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนและแพลตฟอร์มออมทองดิจิทัล อันเป็นการผสานทองคำเข้ากับระบบเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยที่กำลังพัฒนา
การเติบโตของทองคำดิจิทัลในประเทศไทยสอดคล้องกับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลที่น่าประทับใจของประเทศ โดยสภาทองคำโลกเชื่อว่าตลาดไทยจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผ่านการพัฒนาด้านดิจิทัลและการยกระดับมาตรฐานของทองคำ
โดยมีนักลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ โครงการ Gold247 จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการวางรากฐานสู่อนาคต ที่จะผลักดันให้ทองคำก้าวขึ้นมาเป็นองค์ประกอบสำคัญในระบบเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย
ภาพรวมการลงทุนทองคำในตลาดโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ การแปลงทองคำให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้กำลังปรับโฉมวิธีการเข้าถึงและบริหารจัดการการลงทุนทองคำของนักลงทุนยุคใหม่
โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เพิ่มความสะดวกในการเข้าถึง ความคุ้มค่าในการลงทุน และสภาพคล่องในการซื้อขายที่ดีขึ้น ตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนที่มองหาทางเลือกการลงทุนที่คล่องตัวและสะดวกสบาย เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและข้อจำกัดในตลาดทองคำ
สภาทองคำโลกจึงได้เปิดตัว Gold247 เพื่อปฏิรูปตลาดทองคำระดับโลกและตอบสนองความต้องการของนักลงทุนและผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน Gold247 ได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มความโปร่งใสและปรับปรุงการเข้าถึงตลาดทองคำ การพัฒนานี้จะเอื้อประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งนักลงทุน ผู้บริโภค หน่วยงานกำกับดูแล และผู้กำหนดนโยบาย
แนวโน้มตลาดทองคำในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความแข็งแกร่ง โดยมีการพัฒนาอย่างมากในประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เวียดนาม ลาว และอินโดนีเซีย
อย่างไรก็ตาม ด้วยตลาดทองคำของไทยที่มีความเข้มแข็งและมีการพัฒนามาอย่างยาวนาน จึงมีโอกาสในการร่วมมือกันผลักดันให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก้าวขึ้นเป็นเสาหลักอันดับสามด้านอุปสงค์ทองคำโลก โดยจีนเป็นอันดับ 1, อินเดียเป็นอันดับ 2 และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นเป็นเสาหลักอันดับ 3