เศรษฐกิจไทยบนทางสองแพร่งความท้าทายหลังสงกรานต์

16 เม.ย. 2568 | 06:26 น.
อัปเดตล่าสุด :16 เม.ย. 2568 | 06:33 น.

เศรษฐกิจไทยบนทางสองแพร่งความท้าทายหลังสงกรานต์ : บทบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4088 วันที่ 17 - 19 เม.ย. 2568

หลังผ่านพ้นช่วงเทศกาลสงกรานต์อันแสนรื่นรมย์ เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ที่ จะกำหนดทิศทางการเติบโตในปีนี้และปีต่อๆ ไป เปรียบเสมือนยืนอยู่บนทางสองแพร่งที่ต้องเลือกเส้นทางอย่างรอบคอบ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวนและไม่แน่นอนสูง

มาตรการภาษีตอบโต้ 36% จากสหรัฐอเมริกา ที่เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน ที่ผ่านมา นับเป็นแรงกระแทกครั้งใหญ่ต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะภาคการส่งออกซึ่งเป็นฐานสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ตัวเลขประเมินผลกระทบจากภาคเอกชนระบุว่า เศรษฐกิจไทยอาจสูญเสียมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ ถึง 7-8 แสนล้านบาท ส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจหรือ GDP ที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 2.4-2.9% อาจลดลงเหลือตํ่ากว่า 2%

ผลกระทบที่เริ่มปรากฏชัดเจนแล้ว คือ การปรับตัวลดลงของราคายางพารา ที่ลดลงกว่า 3 บาทต่อกิโลกรัม ในช่วงเพียง 2 วันหลังประกาศ 

ส่วนอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับซึ่งมีมูลค่าส่งออกไปสหรัฐฯ ถึง 69,217 ล้านบาทในปี 2567 ก็เผชิญความเสี่ยงจากการที่ราคาจะแพงขึ้นในตลาดสหรัฐฯ เมื่อต้องบวกภาษีเพิ่ม 

ขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์ที่ตั้งเป้าส่งออก 1 ล้านคันในปีนี้ ก็ต้องลุ้นหนักว่า จะบรรลุเป้าหมายได้หรือไม่

ไม่เพียงแต่ผลกระทบทางตรงเท่านั้น ผลกระทบทางอ้อมก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะการชะลอการลงทุนจากต่างประเทศที่รอดูสถานการณ์ และความเสี่ยงที่จีน ซึ่งเผชิญกับภาษีสูงถึง 104% จากสหรัฐฯ จะหันมาทุ่มตลาดสินค้าราคาถูกในไทยมากขึ้น หรือ ใช้ไทยเป็นฐานในการสวมสิทธิ์สินค้า “Made in Thailand” เพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ

ในขณะเดียวกัน ไทยยังเผชิญความท้าทายจากเหตุแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ แม้ผลกระทบทางเศรษฐกิจอาจจำกัดอยู่ที่ประมาณ 20,000-30,000 ล้านบาท หรือ คิดเป็น 0.1-0.15% ของ GDP แต่ก็ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวและนักลงทุน โดยเฉพาะในภาคเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญด้านการท่องเที่ยว

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในบริบทที่เศรษฐกิจโลกยังอยู่ในภาวะชะลอตัว ตลาดการเงินโลกมีความผันผวนสูง และค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อเนื่อง

แม้สถานการณ์จะดูน่าวิตก แต่วิกฤตครั้งนี้ก็มาพร้อมโอกาส รัฐบาลไทยได้เร่งดำเนินการรับมือ โดยกำหนดแนวทางเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯ 5 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การเพิ่มการนำเข้าพืชผลทางการเกษตร และผลิตภัณฑ์จากสัตว์จากสหรัฐฯ การผ่อนคลายการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ การแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้าผ่านการลดขั้นตอนที่ซับซ้อน การตรวจสอบคัดกรองสินค้าป้องกันการหลบเลี่ยงภาษี และการแสวงหาโอกาสการลงทุนในสหรัฐฯ

มาตรการเหล่านี้ อาจช่วยลดผลกระทบในระยะสั้น แต่การพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป ย่อมสร้างความเปราะบางให้กับระบบเศรษฐกิจ ในระยะยาว ไทยจำเป็นต้องกระจายความเสี่ยง ด้วยการขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ มากขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ และตะวันออกกลาง รวมถึงส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศให้เข้มแข็ง

ความท้าทายเหล่านี้ ต้องการการบริหารจัดการอย่างสมดุลและรอบคอบ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นผู้ส่งออก เกษตรกร ผู้ประกอบการ SMEs หรือ ผู้บริโภค การเยียวยาในระยะสั้น ต้องทำควบคู่ไปกับการวางรากฐานในระยะยาว 

การยืนหยัดบนทางสองแพร่งครั้งนี้ ไทยไม่ควรเลือกระหว่างการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่ง หรือ การพึ่งพาตนเองอย่างสุดโต่ง แต่ควรเลือกเส้นทางที่สาม คือ การสร้างความสมดุล กระจายความเสี่ยง และพัฒนาความสามารถในการรับมือ กับความไม่แน่นอน เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก

หน้า 6 หนังสือพิมพ์ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,088 วันที่ 17 - 19 เมษายน พ.ศ. 2568