FETCO ชี้เจรจา “ทรัมป์” ไม่ง่าย คาดกำแพงภาษีไม่จบที่ 0%

09 เม.ย. 2568 | 07:19 น.
อัปเดตล่าสุด :09 เม.ย. 2568 | 07:28 น.

FETCO ชี้ทรัมป์ ต้องการจัดระเบียบโลกใหม่ ฉบับเจ้าพ่อ ระบุเจรจาสหรัฐฯ ไม่ง่าย คาดกำแพงภาษีไม่จบที่ 0% แนะ 4 ทางรอดไทย เตรียมแผนรับมือระยะสั้น-ปานกลาง

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวเสวนาหัวข้อ ผ่ากำแพงภาษี "ทรัมป์" ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ : Out of The Trump's Uncertainty จัดโดยเครือเนชั่น ว่า สิ่งที่กำลังเกิดขณะนี้ มองว่าทรัมป์มีความตั้งใจที่จะสร้างโลกใหม่ หรือควรจำกัดความว่า “โลกที่สหรัฐฯ เป็นที่หนึ่งตลอดไป” เพราะขณะนี้สหรัฐกำลังเสื่อม และกำลังจะไม่เป็นที่หนึ่ง เมื่อเขามีโอกาส มีอำนาจ จึงต้องการเขย่าทำให้ระบบที่เกิดขึ้นใหม่ทำให้สหรัฐฯ เป็นที่หนึ่ง

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO)

“ทรัมป์พูดเสมอว่า เขามีปัญหาขาดดุลการค้าย่อยยับ โดยโลกเสรีการค้าปัจจุบัน ขาดดุลนับ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ และหากเป็นเช่นนี้ต่อไปเขาจะเป็นหนี้หัวโต ขณะเดียวกัน โรงงานในประเทศเขาปิด ส่งผลให้ฐานการผลิตหายไป และยังมีปัญหาขาดดุลการคลังที่เพิ่มขึ้น และเป็นหนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมดจึงนำมาถึงแนวคิดการจัดระเบียบโลกใหม่ ฉบับเจ้าพ่อ”

สำหรับการจัดระเบียบครั้งนี้ เป็นการทำลาย GATP และ WTO (องค์การการค้าโลก) และนำมาสู่ปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้ และทำเรื่องขึ้นภาษีศุลกากร (tariff) ออกมา เพื่อให้ได้รับการเจรจาใหม่ทั้งหมด อีกทั้ง ต้องการทำ tariff ขึ้นมา เพื่อเขย่าความสัมพันธ์ และต้องการลดการขาดดุล ทำให้ความเสียเปรียบทางการค้าลดลง และอยากดึงอุตสาหกรรมการลงทุน ที่ส่งผลต่อการจ้างงานสหรัฐ

“เขาคิดว่าบ้านเขาคือดีสนีย์ ใครอยากมาเที่ยวต้องจ่ายตังค์ โดยสิ่งที่เราเห็นขณะนี้ เป็นผลพวงจากเจ้าพ่อเห็นระบบเก่าแย่ จึงอยากจัดระบบใหม่ หมายความว่าการปั่นป่วนตลาดทุน ตลาดหุ้น ค่าเงิน รวมถึงความกังวลใจเรื่องภาษี กระทบต่อการค้า เป็นผลจากความตั้งใจของคนนี้ ในการจัดระเบียบใหม่ เพื่อทำให้เขาอยู่ยั่งยืนยงต่อไปได้”

ทั้งนี้ เรากำลังคิดหนัก และตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนและร่วงทั้งหมด อย่างไรก็ตาม เมื่อเราอ่านเกมเหล่านี้ จะเห็นว่าทรัมป์ต้องการเปลี่ยนระบบ ซึ่งภาษีที่ออกมาเราต้องไม่ใส่ใจตัวเลขมากนัก เพราะตัวเลขที่ออกมาเชื่อมโยงเพียงดุลการค้า โดยรวมไม่ได้สะท้อน non tariff barriers เขาต้องการใช้อัตราภาษีที่ประกาศออกมา เรียกคนที่ได้เปรียเขาไปเจรจาที่ละคน ซึ่งเป็นการใช้อำนาจของเจ้าพ่อ

“ทั้งหมด คือ เขาอยากจัดบ้านใหม่เพื่อประโยชน์ของเขาเอง ใช้ภาษีเป็นเครื่องมือในการคุกคามให้ทุกคนไปหาเขา ซึ่งเราต้องยอม แต่ขอเรียนว่า  สหรัฐฯ คือ คนที่เจรจายากที่สุด เพราะผมเคยทำงานในยุคทำเสรีการค้า (FTA) ร่วมกับสหรัฐฯ ซึ่งมองว่าจะมีนัยะตามมาจำนวนมาก เพราะไม่ใช่เรื่องภาษีอย่างเดียว แต่มีหลายอย่างที่เขาอยากได้ และเรามองว่าความปั่นป่วนเยอะแน่ แต่ทุนนิยมไม่ล่มสลาย เพียงแต่ทรัมป์ต้องการปรับจูนระบบทุนนิยม เพื่อให้นำไปสู่ความยิ่งใหญ่สหรัฐฯ”

ด้านไทยนั้น มองว่าทางรอด มี 4 เรื่อง 1. มองว่าโลกจะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มทะเลาะ ยอมเจรจา และหมอบ ซึ่งทำให้โลกปั่นป่วน สำหรับไทยนั้นต้องเดินหน้าเข้าสู่การเจรจา และทำให้การเจรจามีค่าที่สุด แล้วนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ซึ่งไทยก็มีเรื่องที่ควรแก้ ที่จะอำนวยความสะดวก เช่น การเปิดเสรีการเข้าเมือง ทบทวนการคิดภาษีไวน์ เป็นต้น

2. การเจรจากำแพงภาษีทรัมป์ ที่ปรับเพิ่มภาษีนำเข้าไทย 36% มองว่าจะไม่จบที่ 0% ไทยต้องไปนั่งคิดว่าอะไรที่เราให้แล้วดีกับประเทศไทยในระยะยาว

3.ไทยต้องเตรียมรับผลกระทบระยะสั้น ซึ่งหากสหรัฐฯ และจีนแยกกันอยู่ สินค้าจีนจำนวนหนึ่งจะมาที่ไทย จะเป็นปัญหาระดับผู้ประกอบการด้วย และไทยต้องคิดว่าจะสร้างโมเมนตัมให้กับเศรษฐกิจอย่างไร เราต้องบริหารระยะสั้นให้ได้

4. ต้องคิดแผนระยะปานกลาง ซึ่งเราต้องอยู่กับเขาอย่างน้อย 4 ปี และอนาคตก็ยังมีแนวคิดเรื่องนี้อยู่ ฉะนั้น จะมีความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศจะเกิดต่อเนื่อง ระยะยาวเราต้องลดการพึ่งพาสหรัฐฯ หมายความว่า การส่งออกไปสหรัฐฯ 18% ต้องลดให้มากกว่านี้ อดีตอาจจะทำยาก แต่ตอนนี้ทำได้ เพราะอินเดีย จีนกำลังมา ลดการส่งออกไปสหรัฐให้เหลือ 10%