"ธนิต" มองปธน.ทรัมป์ ขึ้นภาษีสะเทือนโลก ดาบสองคมกลับทิ่มสหรัฐฯ

09 เม.ย. 2568 | 02:51 น.
อัปเดตล่าสุด :09 เม.ย. 2568 | 03:01 น.

"ธนิต โสรัตน์" เผยมุมมองนโยบายโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นภาษีทุกประเทศทั่วโลก อาจเผชิญผลกระทบย้อนกลับในสหรัฐฯ ราคาสินค้าในประเทศสูงขึ้น การนำเข้าชะลอ สินค้าขาดแคลน

ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยบทความวิชาการภาษีศุลกากรตอบโต้ขาดดุลการค้าของ “ทรัมป์” ผลกระทบและท่าทีของไทยกับมาตรการรับมือ มีเนื้อหาว่า เริ่มแล้วนโยบาย “The America First trade Policy” ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ดีเดย์มีผลตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน ที่ผ่านมาเรียกเก็บภาษีนำเข้า (Import Tax) เฟสแรก 10% กับทุกประเทศที่นำเข้าสินค้าเข้าสหรัฐฯ 

สำหรับสินค้าซึ่งขนลงเรือหรือยานพาหนะเดินทางมายังสหรัฐฯ ก่อนวันดังกล่าวจะไม่ถูกเก็บภาษีก่อนเวลา 00.01 ของวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 การเรียกเก็บภาษีจากอัตราภาษีเดิม รวมทั้งอากรค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่แต่ละประเทศถูกจัดเก็บอยู่เดิม

สำหรับเฟสสอง เริ่มวันที่ 9 เมษายน 2568 โดยจะเก็บกับประเทศต่างๆ ที่ได้เปรียบดุลการค้าอัตราแตกต่างกันไป ไทยติดโผประเทศถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) อัตราที่เรียกเก็บ 36% เป็นอัตราที่สูงเกินความคาดหมาย โดยเงื่อนไขจะเหมือนกับเฟสแรกคือหากอยู่ระหว่างการขนส่งก่อนวันประกาศจะยังได้รับยกเว้นไม่ถูกเก็บอัตราภาษีใหม่ 

 

ทั้งนี้ การปรับภาษีศุลกากรตอบโต้การนำเข้าของสหรัฐฯ จาก 5% กลายเป็น 36% และกับประเทศต่างๆ ทั่วโลกโดนแบบถ้วนหน้า 10-49% มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง นัยของ ปธน.ทรัมป์ เพื่อปลดแอกเปลี่ยนระบบการค้าโลกโดยปฏิเสธการค้าเสรีและ WTO สู่ยุคที่ไม่มีกฎเกณฑ์กติกาการค้า 

สหรัฐฯ ใช้อำนาจแบบมัดมือชกและผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก (The America First Trade Policy) ทำให้ประเทศที่เล็กหรือกำลังพัฒนาไม่มีอำนาจต่อรองเป็นสงครามการค้านำไปสู่ความหายนะทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่สุดของโลกนับแต่ปีค.ศ. 1930 สามารถแบ่งผลกระทบที่มีต่อประเทศไทยได้ 2 แบบ

ผลกระทบทางตรง

สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งปีที่แล้วมูลค่า 1.892 ล้านล้านบาท สัดส่วน 9.88% ของ GDP เกี่ยวข้องกับสินค้าอุตสาหกรรมตั้งแต่กลางน้ำไปจนถึงปลายน้ำตลอดจนโซ่อุปทานทั้งภาคอุตสาหกรรมและบริการ 

ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ รู้ถึงผลกระทบที่จะมีผลต่อประเทศเขาดี ผลกระทบที่ชัดเจนช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผู้นำเข้าสหรัฐฯ หลายรายมีการยกเลิกออเดอร์หรือคำสั่งซื้อ บางรายซื้อขายแบบไม่มี L/C มีการลากตู้เข้าไปในท่าเรือแหลมฉบังแต่ถูกยกเลิกการขึ้นเรือต้องนำสินค้ากลับเข้าโรงงาน จากนี้ไปคือออเดอร์ส่งออกไปสหรัฐฯ และประเทศจีนรวมทั้งหลายประเทศซึ่งเป็นคู่ค้าส่งออกหลักของไทยจะชะลอตัวกระทบต่อสินค้าคงคลังจะสูงขึ้นสวนทางกับสภาพคล่องทางการเงินที่ลดลง 

ด้านการแข่งขันจากการพูดคุยกับผู้ส่งออกหลายรายกล่าวว่ายังมีความไม่แน่นอนสูง ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าคู่แข่งตลาดส่งออกของไทยเจอภาษีสูงกว่าไทย เช่น เวียดนามภาษีสูงกว่าไทย 9% ก่อนหน้านั้นได้สิทธิ “ภาษี 0”แต่ต้นทุนการผลิตต่ำกว่าไทยทำให้แต้มต่อพอสู้ได้ 

สำหรับอินโดนีเซียอัตราต่ำกว่าไทย 5% แต่สินค้าหลายรายการไม่ใช่คู่แข่งหลัก ประกอบกับทั้งค่าระวางเรือสูงกว่าไทย ประเทศกัมพูชาเป็นผู้ส่งออกการ์เมนท์และรองเท้าภาษีสูงกว่าไทย 12% ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมใช้แรงงานเข้มข้นซึ่งผู้ผลิตไทยย้ายฐานการผลิตไปหลายราย ขณะที่แรงงานของไทยต้นทุนสูงและมีไม่พอเพียงทำให้ไม่น่าจะมีผล 

สำหรับประเทศมาเลเซีย-ฟิลิปปินส์ถูกเรียกเก็บภาษีต่ำกว่าไทยมากแต่ไม่ใช่คู่แข่งหลักการส่งออก คลัสเตอร์ที่มีผลกระทบ 15 อุตสาหกรรมซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯ รวมกัน 70% เช่น คอมพิวเตอร์ผลิตภัณฑ์ยาง โทรศัพท์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อัญมณี-เครื่องประดับ เครื่องปรับอากาศ เครื่องใช้ไฟฟ้า เหล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ผลิตภัณฑ์พลาสติก อาหารทะเลแปรรูปและอาหารบรรจุกระป๋อง ฯลฯ

ผลกระทบทางอ้อม

การขึ้นภาษีตอบโต้ทางการค้าแบบล้างแค้นเอาคืนของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ใช้กับทุกประเทศโดยเฉพาะประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้า ผลกระทบทางอ้อม เช่น ประเทศจีนถึงจะมีทุน-ธุรกิจสีเทาหรือทุ่มตลาดสินค้าราคาถูก คุณภาพและมาตรฐาน แต่ก็เป็นคู่ค้าส่งออกอันดับที่ 2 การที่จีนถูกเรียกเก็บภาษีสูงถึง 54% ก่อนหน้านี้ถูกปรับไปก่อนแล้ว 20% สูงกว่าทุกประเทศจะทำให้การส่งออกไปจีนจะลดลงทั้งมูลค่าและปริมาณ

เนื่องจากไทยอยู่ในโซ่อุปทานการผลิตของจีนอีกทั้งความไม่แน่นอนการลงทุนของจีนซึ่งกลายเป็นประเทศลงทุน (FDI) อันดับ 1 ของไทยจะชะงักหรือชะลอการลงทุน 

นอกจากนี้การชะลอตัวของสินค้าจีนเข้าไปสหรัฐฯ ทำให้เกิดภาวะโอเวอร์ซับพลายและมีสต็อกสูงจะไหลเข้ามาในไทยหรือสวมสิทธิ์ “Made in Thailand” 

อย่างไรก็ดีไทยถูกเรียกเก็บภาษีจากสหรัฐฯ ในอัตราสูงเช่นกัน ที่แน่นอนคือสินค้าจีนและทุนจีนสีเทารายย่อยจะไหลเข้ามาแย่งตลาดและอาชีพคนไทยมากขึ้น ซึ่งเป็นผลกระทบเฉพาะตลาดจีน

ขณะที่ผลกระทบทางอ้อมจากการส่งออกที่ชะลอตัวโดยเฉพาะอาเซียน ญี่ปุ่น สหภาพยุโรปและอีกหลายประเทศซึ่งถูกภาษีทรัมป์จะทำให้ความต้องการสินค้าจากไทยลดลงกระทบเป็นลูกโซ่ จำเป็นที่รัฐบาลจะต้องมีการศึกษาถึงผลกระทบภาษีตอบโต้ขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ให้ครอบคลุมทุกมิติ เพราะเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมและบริการตลอดจนภาคเกษตรและเกษตรแปรรูปตั้งแต่ต้นน้ำที่เป็นวัตถุดิบไปสู่กลางน้ำที่เป็นสินค้ากึ่งสำเร็จรูปจนไปถึงปลายน้ำ 

นอกจากนี้ภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ เกี่ยวข้องกับแรงงานจำนวนหลายล้านคนมีผลต่อสภาพคล่องของธุรกิจและครัวเรือนจะสูงขึ้น ขณะที่กำลังการผลิตอุตสาหกรรม (CPU) ที่ต่ำอยู่แล้วประมาณ 59% อาจลดลงทำให้อัตราการว่างงานจะสูงขึ้น ประเด็นเหล่านี้จะต้องมีการศึกษาถึงผลกระทบและมาตรการของรัฐบาลที่จะออกมารองรับ

ท่าทีของไทยกับมาตรการรับมือภาษีสหรัฐฯ

1. แถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรี (6เมษายน 2568) เป็นการแสดงท่าทีของรัฐบาลไทยภายใต้นโยบายการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งเห็นถึงความเสียหายและผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจไทย แต่งตั้ง นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกและรมว. กระทรวงการคลัง เป็นหัวหน้าทีมระบุว่าช่วงก่อนสงกรานต์จะนำทีมไปสหรัฐฯ เพื่อเจรจากับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเน้นประเด็น เช่น

  • ไทยไม่ใช่เพียงผู้ส่งออกแต่เป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนเศรษฐกิจกับสหรัฐฯ มาช้านาน ประเด็นนี้อาจใช้กับปธน.ทรัมป์ไม่สำเร็จเพราะขนาดแคนาดา อังกฤษ อียูและไต้หวัน ซึ่งเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นกับสหรัฐฯ ก็ถูกเล่นภาษีหนักเช่นกัน

 

  • มาตรการเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เช่น จัดซื้อฝูงอากาศยานโบอิ้งและเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตร เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพด ปศุสัตว์โดยเฉพาะเนื้อหมู ประเด็นคือการนำเข้าขึ้นอยู่กับภาคเอกชนเกี่ยวข้องกับต้นทุนที่แข่งขันได้ ควรมีมาตรการลดภาษีนำเข้าจูงใจให้มีการนำเข้า เช่น ประเทศกัมพูชาเสนอลดอัตรา Import Tax เหลือ 5% แต่ที่ต้องระมัดระวังการลดภาษีต้องทำเท่าเทียมกับหลายประเทศ

 

  • ลดเงื่อนไข-อุปสรรคการนำเข้าตลอดจนการปราบปรามการสวมสิทธิถิ่นกำเนิดที่เรียกว่า Certificate of Origin (C/O) ตลอดจนสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศที่ใช้ในการส่งออก (Local Content) กรณีนี้ต้องเข้มงวดเพราะสินค้าจีนจะทะลักเข้าไทยเพิ่มมากขึ้นและแปลงสภาพเป็น Made in Thailand เพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ 

 

  • ประเด็นเจรจาเกี่ยวข้องกับสินค้าส่งออก 15 คลัสเตอร์ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 70 ของมูลค่าส่งออกทั้งหมดจะเจรจากันอย่างไรเพราะสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) จะไต่สวนแยกเป็นแต่ละผลิตภัณฑ์

 

  • มาตรการรับมือถึงผลกระทบ ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอนยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบขึ้นอยู่กับผลการเจรจาซึ่งคิว 50 – 60 ประเทศที่จะเข้ามาคุยกับทีมเจรจาของปธน.ทรัมป์คงยาวมาก แต่การนำสินค้าเข้าสหรัฐฯ 

โดยตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน จะเสียภาษี 36% ย่อมมีผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม.ซึ่ฝมีการประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปีพ.ศ. 2568 อาจขยายตัวได้จาก 3% เหลือ 1.4% มีการประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณ 8.8 แสนล้านบาท ตัวเลขนี้คิดแค่มูลค่าสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ ยังไม่ได้รวมความเสียหายที่เกิดกับโซ่อุปทานส่งออกที่มีความซับซ้อนหลายมิติ

ทั้งนี้กระทรวงการคลังประเมินว่าจะมีผลทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือ GDP เหลือ 2% ขณะที่ศูนย์วิจัยเอกชน (5 แห่ง) ค่าเฉลี่ยการขยายตัวทางเศรษฐกิจเหลือ 1.45% ตัวเลขนี้ยังไม่ได้รวมตัวเลขจากแผ่นดินไหวและการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศตลอดจนตลาดทุน

ด้วยสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนไม่สามารถสรุปถึงผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ทางภาษีของสหรัฐฯ จะมีผลมากน้อยเพียงใด อีกทั้งคงต้องติดตามผลจากทีมเศรษฐกิจไทยที่ไปเจรจาจะสามารถทำให้สหรัฐฯ อ่อนข้อลดภาษี ประเด็นสำคัญการลดภาษีกับประเทศคู่แข่งส่งออกของไทย เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย อินเดีย จะเป็นอัตราที่ไทยยังสามารถแข่งขันและรักษาตลาดได้มากน้อยเพียงใด 

การเจรจาภายใต้ปฏิสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ต่ำกว่าเป็นเรื่องที่ยาก ดังที่ปธน.ทรัมป์ระบุว่าให้ยื่นข้อเสนอมาว่าจะมีอะไรไปแลกเปลี่ยนหรือ Trade Off เพราะเป็นการพิจารณาฝ่ายเดียวภายใต้นโยบาย “America Great Again” คล้ายสมัยของยุคนาซีช่วงก่อนส่งครามโลกครั้งที่ 2 กรณีจีน ปธน.ทรัมป์แบไต๋ว่าต้องการให้รัฐบาลปักกิ่งไฟเขียวขายแอป “TikTok” ของ ByteDance เพื่อแลกกับการลดภาษีนำเข้า

ขณะที่ประเด็นที่ไม่ควรมองข้ามคือปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ อาจแพ้ภัยตัวเองเนื่องจากราคาสินค้าในประเทศเริ่มขยับตัวสูง มีการชะลอการนำเข้าเพื่อดูสถานการณ์ทำให้สินค้าเริ่มขาดแคลนและมีการกักตุนสินค้าโดยเฉพาะอุปโภคและบริโภคมีราคาปรับตัวสูง อุตสาหกรรมบางประเภท เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมประกอบยานยนต์เริ่มทยอยการหยุดการผลิตเพราะต้องประเมินราคาวัตถุดิบและ/หรือชิ้นส่วนที่ต้องนำเข้า 

ปัญหาของสหรัฐฯ คือต้นทุนการผลิตในประเทศสูง ขาดแคลนแรงงานทำให้ย้ายฐานการผลิตไปลงทุนทั่วโลกส่งผลให้ขาดทักษะในการผลิต ขณะที่ทรัมป์ขับไล่แรงงานต่างด้าวจำนวนมากออกนอกประเทศ 

อย่างไรเสียเศรษฐกิจของสหรัฐฯ คงต้องพึ่งพาการนำเข้าจุดแข็งของสหรัฐฯ คือภาคบริการที่ได้เปรียบดุลการค้ามาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ปธน.ทรัมป์ยังเผชิญการต่อต้านในประเทศ มีการประท้วงทั่วประเทศในกว่า 50 มลรัฐ ตลอดจนสินค้า “USA Brand” เริ่มถูกต่อต้านทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศที่เคยเป็นมิตร คงต้องติดตามว่าสหรัฐฯ จะอ่อนข้อลดอัตราภาษีศุลกากรแบบต่างตอบแทนและอัตราที่ลดไทยยังสามารถแข่งขันกับประเทศส่งออกอื่นๆ ได้หรือไม่ตลอดจนประเมินผลกระทบในทุกมิติที่จะมีต่อประเทศไทย