วันนี้ (9 เมษายน 2568) ที่โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เปิดเผยในงานสัมมนาแบบประชุมโต๊ะกลม Roundtable "Trump's Global Quake: Thailand Survival Strategy เรื่องผ่ากำแพงภาษี “ทรัมป์” ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ: Out of The Trump's Uncertainty จัดโดยสื่อในเครือเนชั่น ฐานเศรษฐกิจ กรุงเทพธุรกิจ และโพสต์ทูเดย์ ว่า
การดำเนินนโยบาย “The America First trade Policy” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีความเสี่ยงกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่สามที่ไม่ใช่การเสียเลือดเนื้อ แต่เกิดจากการทำสงครามการค้า โดยหากสหรัฐฯ ต้องการอยากเอาชนะและจัดระเบียบโลกใหม่ โดยตั้งใจดึงจีนลงให้ได้ เชื่อว่าจะทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจได้รับผลกระทบรุนแรง และยืดเยื้อยาวนาน ส่วนประเทศเล็ก ๆ จะกลายเป็นพื้นที่สงคราม และมีความเสี่ยงหากตัดสินใจดำเนินการด้านใดด้านหนึ่งไปแล้วกลายเป็นการเลือกข้าง
"ตัวจุดชนวนตอนนี้คือการที่จีนขึ้นมาเร็วมากและกำลังท้าชิงอันดับความเป็นอันดับหนึ่งกับสหรัฐ มุมตรงนี้อันตราย เพราะจีนมีความสามารถในการปรับตัวเร็วมาก เมื่อเทียบกับเทรดวอร์ในรอบแรก ซึ่งดูเหมือนว่าจีนยังไม่เตรียมพร้อมในช่วงนั้นจนท้ายสุดก็เข้ามาสวามิภักดิ์กับสหรัฐ และนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ แต่รอบสองแตกต่างไป เพราะจีนเตรียมตัวมาดีมาก โดยเฉพาะเทคโนโลยีเอไอ ที่จีนพัฒนาขึ้นมาเร็วมาก" ดร.นณริฏ ระบุ
ดร.นณริฏ กล่าวว่า การดำเนินมาตรการองสหรัฐฯ ซี่งหลายคนประเมินว่าเป็นเศรษฐิจแบบใหม่แบบเจ้าพ่อให้คนวิ่งไปเจรจานั้น เบื้องต้นมองว่าการเจรจาจะไม่มีการเกิด Win-Win ได้โดยง่าย และต้องเผื่อใจว่าโลกจากนี้จะเป็นโลกที่มีความเจ็บปวด อย่างไรก็ดีตอนนี้มองว่าอาจมีอยู่มุมหนึ่งที่เป็นโอกาสให้หลุดออกจากปัญหาได้ โดยทีดีอาร์ไอ ประเมินว่า ภายใน 6 เดือน ถึง 2 ปีจากนี้ อาจเกิดสถานการณ์ภายในประเทศสหรัฐฯ จนทำให้ทรัมป์หลุดจากตำแหน่งได้ เช่น กรณีการประท้วงที่รุนแรงเรื่องผลกระทบจากภาษีที่เกิดขึ้น
"อยากให้ภาครัฐคำนึงว่าถ้าจากนี้เกิดการเปลี่ยนไปจริง ๆ การเจรจาที่เราให้เขาไปแล้วจะให้ไปเลย นั่นคือเมื่อให้แบบสุดซอยแล้วอาจจะเอากลับมาไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องรอดูสถานการณ์ก่อน ซึ่งตามหลักเศรษฐศาสตร์ภายใน 6 เดือน เมื่อมีการขึ้นภาษี โดยไม่มีการเจรจา คนสหรัฐฯ จะกระทบแน่ เพราะราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้น อีกเรื่องคือการหาทางเลือกที่เหมาะสมผ่านการเจรจาเร็ว-ช้า หรืออยู่เฉย หรือสู้แบบจีน หรือรวมกันสู้กับพันธมิตรก็ได้" ดร.นณริฏ กล่าว
อย่างไรก็ตามทีดีอาร์ไอขอเสนอแนวทางการแก้ปัญหาต่อภาครัฐ โดยอยากให้รัฐบาลวางตัวผู้แทนของประเทศเพื่อรับมือปัญหาอย่างแท้จริง พร้อมทั้งทุกภาคส่วนควรร่วมมือกันหาทางปรับตัวและรับมือปัญหาที่อาจเกิดขึ้นทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน
นอกจากนี้ทีดีอาร์ไอยังเห็นว่า ควรกลับไปพิจารณาหลักคิดในการดำเนินการมาตรการต่าง ๆ ว่าเมื่อดำเนินการไปแล้วประเทศไทยจะเกิดประโยชน์ได้จริงหรือไม่ เช่นสามารถปกป้องอุตสาหกรรม สนับสนุนการจ้างงาน การเพิ่มมูลค่าของสินค้าภายในประเทศ หรือไปปกป้องเจ้าสัวรายใดหรือไม่ ประเด็นทั้งหมดนี้ควรหยิบยกขึ้นมาพิจารณาใหม่
ท้ายที่สุด ไม่อยากให้รัฐบาลการแก้ปัญหาระยะสั้น โดยจะต้องพิจารณาดูความเหมาะสมทางเศรษฐศาสตร์ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้ได้ด้วย
“สถานการณ์ต่อจากนี้จะมีกลุ่มที่หลุดพ้น และแย่ลง โดยกลุ่มของประเทศที่จะหลุดพ้นคือต้องพื้นฐานที่ นั่นคือ หนี้สาธารณะต่ำ มีพื้นที่การเงินการคลัง เพื่อตุนกระสุนไว้ดูแลเศรษฐกิจ มีการส่งออกที่พื้นฐานดี และการท่องเที่ยวดี แต่ถ้าเราไม่ยอมรับว่าต้องวางแผนระยะยาว เช่นอาจจะเกิด Stagflation ก็อาจมีความเสี่ยงที่จะตกลงมาได้” ดร.นณริฏ กล่าวทิ้งท้าย