สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า รัฐบาลสหรัฐประกาศว่า จะเริ่มเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 104% วันที่ 9 เม.ย. 2568 ทันที แม้ว่าคณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเร่งเจรจากับประเทศคู่ค้าอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากแผนการขึ้นภาษีนำเข้าอย่างกว้างขวาง
แม้ตลาดโลกจะเคยคาดหวังว่าทรัมป์อาจเปิดใจเจรจาลดภาษีนำเข้าที่กำหนดไว้สำหรับหลายประเทศและผลิตภัณฑ์ แต่ทำเนียบขาวยืนยันว่าภาษีนำเข้ารายประเทศสูงถึง 50% จะมีผลบังคับใช้ตามกำหนดเวลา 00:01 น. ตามเวลาฝั่งตะวันออกสหรัฐ
สหรัฐ เดินหน้าเก็บภาษีนำเข้าจากจีน 104% มีผลหลังเที่ยงคืน ส่งผลตลาดหุ้นวอลล์สตรีทร่วงต่อเนื่อง 4 วัน สูญมูลค่ากว่า 5.8 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่แคนาดาประกาศตอบโต้ทันที ชาวอเมริกันวิตกราคาสินค้าพุ่ง
"นี่คือข้อตกลงที่ออกแบบมาเฉพาะ เราได้เจรจากับหลายประเทศ กว่า 70 ประเทศที่ต้องการเข้าร่วม ปัญหาคือเราไม่สามารถพบกับทุกประเทศได้อย่างรวดเร็ว" ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวระหว่างลงนามคำสั่งบริหารเพื่อกระตุ้นการผลิตถ่านหินที่ทำเนียบขาว
สำหรับจีน ภาษีนำเข้าจะสูงถึง 104% หลังจากทรัมป์เพิ่มอัตราภาษีเพื่อตอบโต้มาตรการขึ้นภาษีตอบโต้ที่ปักกิ่งประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จีนปฏิเสธที่จะยอมจำนนต่อสิ่งที่เรียกว่า "การแบล็คเมล์" และประกาศว่าจะสู้จนถึงที่สุด
เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารระบุว่า พวกเขาจะไม่ให้ความสำคัญกับการเจรจากับประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก
"ขณะนี้ เราได้รับคำสั่งให้จัดลำดับความสำคัญกับพันธมิตรและคู่ค้าของเรา เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี และประเทศอื่นๆ" เควิน แฮสเซ็ต ที่ปรึกษาเศรษฐกิจทำเนียบขาวกล่าวทางสถานีโทรทัศน์ฟอกซ์นิวส์
มาตรการขึ้นภาษีอย่างกว้างขวางของทรัมป์สร้างความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยและกระทบระเบียบการค้าโลกที่ดำเนินมาหลายทศวรรษ
ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 นับตั้งแต่ทรัมป์ประกาศมาตรการขึ้นภาษีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยดัชนี S&P 500 ปิดต่ำกว่า 5,000 จุดเป็นครั้งแรกในรอบเกือบหนึ่งปี ขณะนี้ดัชนีลดลง 18.9% จากจุดสูงสุดล่าสุดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ใกล้จะเข้าเกณฑ์ตลาดหมี (Bear Market) ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อลดลง 20%
บริษัทในดัชนี S&P 500 สูญเสียมูลค่าตลาดไปแล้ว 5.8 ล้านล้านดอลลาร์นับตั้งแต่การประกาศขึ้นภาษีเมื่อวันพุธที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการสูญเสียมูลค่าในช่วง 4 วันที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่มีการสร้างดัชนีนี้ในทศวรรษ 1950 ตามข้อมูลจาก LSEG