ผลกระทบของระเบียบโลกใหม่และความพร้อมของไทย

08 เม.ย. 2568 | 07:57 น.
อัปเดตล่าสุด :08 เม.ย. 2568 | 08:16 น.

บทความ "ระเบียบโลกใหม่: ภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ" ตอบจบ “ผลกระทบของระเบียบโลกใหม่และความพร้อมของไทย”  โดย ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) และอดีตเลขาธิการองค์การสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) 

ระเบียบโลกใหม่ที่จะมีหลายชั่วโดยมีขั้วสำคัญสาม คือ ขั้วของสหรัฐฯ จีน และรัสเซีย จะสร้างการเปลี่ยนแปลง มหาศาลในโลกที่จะมีความผันแปรไม่แน่นอนมากยิ่งขึ้น

ข้อสรุปของ Charles Darwin จากเมื่อมากกว่า 150 ปี มาแล้วยังคงเป็นจริงอยู่เสมอ "It's not the strongest of the species that survived, nor the most intelligent, but the one most responsive to change." ซึ่งมีความหมายต่อความสามารถในการปรับตัวของประเทศทุกประเทศในโลกให้สามารถรองรับกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้ และให้มีภูมิคุ้มกันภูมิต้านทานที่เมื่อประสบปัญหาแล้วสามารถยังคงยืนหยัดอยู่ได้ หรือเมื่อล้มลงก็ยังสามารถลุกขึ้นมาต่อสู้และอยู่รอดต่อไปได้

จากหนังสือ Collapse ของ Jarrod Diamond (ปี 2005) พูดถึงปัญหาการล่มสลายของสังคมเก่าแก่ทั้งหลายในโลก ที่มีสาเหตุหลักมาจากปรากฏการณ์สองประการ คือ

  1. สังคมไม่สามารถแก้ปัญหาได้ก่อนปัญหาจะมาถึง และ 2) เมื่อปัญหามาถึงแล้วไม่สามารถเข้าใจวิธีการแก้ปัญหาเหล่านั้นได้
  2. หลักการใหญ่ในการต่อสู้กับปรากฏการณ์ เหล่านี้ตามข้อสรุปของ Diamond คือ ประเทศต้องมีการวางแผนต่อสู้ปัญหาด้วยนโยบายระยะยาว การแก้ปัญหาที่มีระยะสั้นเพียงเพื่อให้รอดพ้นจากปัญหาไปเพียงชั่วคราวเท่านั้น และไม่ใช้วิธี

ปัญหาสำคัญแรกของโลกในขณะนี้คือ กระบวนการ deglobalisation จะไปไกลขนาดไหน ในระยะสั้นจะเห็นได้ ว่ากระบวนการโลกาภิวัตน์จะค่อยๆ เสื่อมสลาย แต่จากประสบการณ์ของ ทรัมป์ 1 ปรากฏว่าท่ามกลางการ เปลี่ยนแปลงของกระบวนการโลกาภิวัตน์ก็จะมีกระบวนการเชื่อมโยงใหม่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องห่วงโซ่ของ อุปทานจะทำให้บทบาทของกลุ่มประเทศที่เกิดใหม่ (emerging markets) หรือประเทศที่มีรายได้ปานกลางมีสูง ขึ้นในการรองรับห่วงโซ่ใหม่ที่จะเกิดขึ้น

 ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) และอดีตเลขาธิการองค์การสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) 

อ่านบทความ  "ระเบียบโลกใหม่: ภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ ตอนต่างๆเพิ่มเติม

แต่ที่สำคัญคือประเทศเหล่านี้ต้องพร้อมที่จะปรับตัวให้พร้อมที่จะรับมือเป็นข้อต่อส่วนใหม่ของห่วงโซ่นี้ได้ ตัวอย่างของประเทศที่จะได้รับโอกาสอาจจะเป็น เช่น บราซิล อินเดีย และ กลุ่มอาเซียน เป็นต้น ปัญหาของกลุ่มอาเซียนที่ต้องเผชิญกับขั้วของสหรัฐฯและขั้วของจีนที่อยู่ใกล้ตัวคือต้องสามารถรักษาความเป็นกลางและบทบาท centrality ของตนเองไว้ให้ได้โดยไม่ต้องเลือกข้าง

ปัญหาประการที่สอง ที่สหรัฐฯใช้เครื่องมือทางการค้า ทางภาษีอากร เพื่อสร้างอำนาจต่อรองกับประเทศที่มี อำนาจน้อยกว่าน่าจะไม่เป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯเองในที่สุด

การวิเคราะห์เชิงเศรษฐศาสตร์อย่างเป็นกลางที่สุด ชี้ให้เห็นว่าการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯเป็นผลสำคัญมาจากโครงสร้างภายในประเทศสหรัฐฯเอง ที่มีการบริโภคมากกว่าการออม ซึ่งนำไปสู่การขาดดุลที่ต้องแก้ไขจากภายในประเทศมากกว่าการกดดันประเทศอื่นให้ซื้อสินค้าจากตนมากขึ้น

การกดดันในทำนองนี้ที่เกิดขึ้นในช่วง ทรัมป์ 1 ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสภาพการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯมากมายนัก และหากการขึ้นภาษีการค้าเป็นจริงตามคำขู่ ผลสุดท้ายก็จะเป็นผู้บริโภคชาวอเมริกันเองที่ต้องเป็นฝ่ายรับภาระจากการขึ้นภาษี ด้วยการที่ปัญหาราคาสินค้าจะสูงขึ้น และประเทศคู่ค้าจะตอบโต้ทำให้เกิดปัญหาแก่ภาคเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบ เช่นที่จีนเคยตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าเกษตรนำเข้าจากสหรัฐฯ ที่ทำให้เกษตรกรชาวอเมริกันถูกกระทบอย่างแรง

แฟ้มภาพ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ผลก็คือ รัฐบาลสหรัฐฯต้องใช้งบประมาณไม่น้อย กว่าร้อยละ 90 ของภาษีที่เก็บได้ในการให้การอุดหนุนเพิ่มเติมกับเกษตรกร การใช้ tariff เป็นเครื่องมือเช่นนี้ไม่ น่าจะทำให้ MAGA กลายเป็นความเป็นจริงได้ แต่อาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวช้าลงและการค้า ระหว่างประเทศชะงักงัน

ปัญหาประการสามของการเสื่อมลงของขั้วอำนาจสหรัฐฯและการเพิ่มพลังของคู่อำนาจใหม่ทำให้เกิดการสร้าง กลุ่มต่างๆ ขึ้นมาเพื่อขยายฐานอำนาจและเพื่อให้เกิดพันธมิตรที่สามารถจะทำการต่อสู้ในลักษณะ proxy ที่เป็น ตัวแทนได้

ภาวะเช่นนี้อาจจะนำไปสู่สถานการณ์ที่การกระทบกระทั่งมีโอกาสจะเกิดได้สูงขึ้นพร้อมๆไปกับการสะสมอาวุธยุทธโธปกรณ์ที่จะทำลายล้างกันได้ง่ายขึ้น ภาวะสงครามเย็นเช่นนี้จะต้องแก้ไขด้วยการสร้างสะพานเชื่อมโยงกลุ่มต่างๆให้มากขึ้น แทนการสร้างกำแพงที่จะทำให้การแปลกแยกรุนแรงยิ่งขึ้น

ด้วยเหตุนี้มาตรการทางด้านการทูตที่ Kissinger ได้นำมาปฏิบัติในการทำ shuttle diplomacy และสร้าง detente ลดความกดดันระหว่างมหาอำนาจ นับว่าเป็นแนวทางการปฏิบัติที่ประเทศต่างๆ ต้องร่วมกันนำมาใช้

เมื่อปี 2023 Kissinger มีอายุครบ 100 ปี ได้ไปเยือนประเทศจีนก่อนเสียชีวิตในปีต่อมา และได้กล่าวไว้ว่า “ถ้าสหรัฐฯและจีนต้องรบกัน ทั้งคู่จะสูญเสียทั้งคู่”

การเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มการค้า RCEP และกลุ่ม CPTPP เป็นหนึ่งในแนวทางที่เป็นการสร้างสะพานเชื่อมโยงกลุ่มต่างๆ เข้าด้วยกัน การปรากฏของกลุ่มอาเซียนในกลุ่ม BRICS ควรเป็นตัวแปรที่ช่วยทำให้ BRICS ทําหน้าที่ช่วยประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น และมากกว่าการปล่อยให้ BRICS เป็นกลุ่มต่อต้านกลุ่มจากฟากประเทศพัฒนาแล้ว

ปัญหาประการที่สี่ คือ บทบาทขององค์กรพหุภาคีที่อาจจะลดน้อยลง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะการทำงาน ขององค์การของสหประชาชาติมักมีผลในการช่วยเหลือประเทศที่มีรายได้น้อย และช่วยลดช่องว่างของการ พัฒนาลงไปได้บ้าง ดังนั้น แม้ว่าบทบาทขององค์การสหประชาชาติจะถดถอยลง ประเทศสมาชิกก็ควรที่จะร่วม กันจรรโลงสถาบันพหุภาคีนี้ เพื่ออย่างน้อยจะมีผลในด้านการรักษาความสงบ แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม และสร้าง กระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ทุกภาคส่วนของโลกมีส่วนร่วม

ผลจากการประชุม UN Summit of the Future (กันยายน 2024) ที่จะช่วยทำให้ประเทศเข้าเป้า SDGs มากขึ้น และหามาตรการที่จะทำให้ระบบพหุภาคีแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ควรได้รับการนำมาปฏิบัติโดยประเทศสมาชิกทุกประเทศ

ปัญหาประการที่ห้า คือ การสนับสนุนตลาดเงิน crypto โดย ทรัมป์ 2 ทําให้นับว่าเงิน crypto มีฐานะเป็นที่ ยอมรับของทางการขึ้นมาทันที รวมทั้งการเสนอให้มีกฎระเบียบที่เบาบางที่สุด ทำให้ตลาดเงิน crypto ได้รับ ความนิยมอย่างก้าวกระโดดในช่วงข้ามคืน

การขยายตัวของราคาสินทรัพย์นี้ที่เป็นไปอย่างรุนแรงแล้วอาจจะรุนแรงหนักยิ่งขึ้น เงิน crypto นี้โดยธรรมชาติไม่มีค่าในตัวเองอยู่แล้ว และผันแปรตามการเก็งราคามากกว่าเชื่อมโยงกับภาวะเศรษฐกิจ การมีกฎระเบียบที่เบาบางจะทำให้ระบบธนาคารสามารถเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้มากขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบการเงินโดยทั่วไปได้

นอกจากนี้การที่ระบบเงิน crypto สามารถเอื้อโอกาสให้มีการฟอกเงินที่ได้มาอย่างไม่ถูกกฎหมายโดยไม่มีทางติดตามได้ น่าจะสร้างปัญหาให้กับความปลอดภัยของสังคมมากยิ่งขึ้น ธนาคารกลางหลายประเทศจึงยังมีความระมัดระวังที่จะให้การยอมรับเงินประเภทนี้ ระบบการเงินโลกปัจจุบันยังมีความเสี่ยงในตัวเองอยู่อีกมาก พิจารณาจากสถาบันการเงินที่มีปัญหา ที่สหรัฐฯและสวิตเซอร์แลนด์เมื่อไม่นานมานี้ การระมัดระวังเรื่องการใช้เงิน crypto โดยขาดการกำกับที่เหมาะ สมจึงยังคงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง

ปัญหาประการที่หก คือ การที่มีประเทศจำนวนมากขึ้นที่หันมาใช้นโยบายที่เรียกกันว่า “นโยบายอุตสาหกรรม (Industrial policy) ซึ่งในอดีตประเทศในเอเซียนำมาใช้ เพื่อส่งเสริมบางอุตสาหกรรมอย่างได้ผลสำเร็จ โดยรวมมาตรการช่วยเหลืออุตสาหกรรมที่ส่งเสริมด้วยการอุดหนุนและการกีดกันการนำเข้าสินค้าที่เข้ามาแข่งขัน

ในปี 2023 IMF รายงานว่ามีมาตรการจากนโยบายอุตสาหกรรมทั่วโลก 2,500 มาตรการ สองในสามเป็น มาตรการที่มีผลในการบิดเบือนการค้าเสรี โดยที่สามเศรษฐกิจใหญ่ของโลก คือ สหรัฐฯ จีน และสหภาพยุโรป เป็นผู้นำมาตรการเหล่านี้มาใช้กว่าครึ่งหนึ่งของทั้งโลก ถึงแม้ว่าปรากฏการณ์ของการแพร่หลายของมาตรการ ส่งเสริมอุตสาหกรรมที่มีผลต่อการกีดกันการค้าอย่างมากมายจะไม่ได้เกี่ยวกับ ทรัมป์ 2.0 โดยตรง

ผลกระทบของระเบียบโลกใหม่และความพร้อมของไทย

แต่ปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์และระเบียบโลกใหม่ทำให้ประเทศต่างๆ หันมาใช้นโยบายอุตสาหกรรมเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของตนเองมากขึ้น ประกอบกับความห่วงใยต่อสภาพสิ่งแวดล้อมเพิ่มกระแสกดดันให้ประเทศใช้นโยบายควบคุมการค้าที่จะมีผลกระทบต่อสภาพเช่นนี้มากขึ้น

กระบวนการทั้งหมดนี้แม้จะไม่มีแรงกระเพื่อมต่อเศรษฐกิจโลกเหมือนการขึ้นภาษีของทรัมป์ 2.0 แต่ปัญหาของการใช้มาตรการทางการค้า มาเป็นกำลังการต่อรองทางการเมืองมากขึ้นจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของระเบียบโลกใหม่ที่อาจจะทำให้ ประเทศกำลังพัฒนาและประเทศรายได้ต่ำมีความเสียเปรียบมากยิ่งขึ้น

แม้จะมีหรือไม่มี ทรัมป์ 2.0 ภาวะภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจที่ประกอบเป็นระเบียบโลกก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปแล้ว โดยเฉพาะที่ปรากฏตัวชัดหลังวิกฤตการณ์เงินโลก 2008 ที่เริ่มขึ้นที่ระบบการเงินของสหรัฐฯ และโรคระบาด อุบัติใหม่ COVID-19 ที่เปลี่ยนระเบียบโลกเสรีเป็นภาวะจำยอมที่ต้องมีการออกมาตรการมาแทรกแซง เศรษฐกิจและสังคมมากขึ้นเพื่อความอยู่รอด และเร่งให้เกิดภาวะของความตึงเครียดทางสังคม เศรษฐกิจ การค้า

สิ่งที่กำลังเปลี่ยนไป ขณะนี้คือการใช้มาตรการทางการค้าและการเงินมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อบังคับให้ประเทศต้องเข้ามาเจรจายอมปฏิบัติตามเงื่อนไขใหม่ของประเทศที่มีมีอำนาจเหนือกว่ายอมรับวิธีเช่นนี้ง่ายๆ และจะนำไปสู่การตอบโต้ที่กระทบกระเทือนความสัมพันธ์ทั่วโลก

แต่เมื่อพิจารณาจากผลกระทบของ ทรัมป์ 1 และ ไบเดน ที่ปฏิบัติต่อเนื่อง โลกก็ยังสามารถปรับตัวรองรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปได้

หัวใจของสถานการณ์ใหม่คือความพร้อมที่จะมีการปรับตัวรับกับการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้คำว่า “ความทนทาน”(resilience) หรือการมีภูมิต้านทานเป็นคำที่ใช้กันมากที่สุดในด้านภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลก ประเทศไทยก็ เช่นเดียวกันกับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ที่ถูกพาเข้ากระแสการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ในฐานะ “ผู้เฝ้ามอง” (bystander) ที่อาจจะจำเป็นที่ต้องหาทางรวมพลังของตนเอง หรือร่วมกับผู้อยู่ในฐานะเดียวกันเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นในการร่วมกำหนดทิศทางของการเปลี่ยนแปลงนี้

ภาระแรกจึงขึ้นอยู่กับความเป็นไปได้ของผลพวงจากเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนของ UN (UNSDGs) โดย เฉพาะในเป้าหมายที่ 7 ที่ UN ย้ำเน้นมาเสมอว่าจะต้องให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ในกระบวนการกำหนดทิศทางของ เศรษฐกิจโลก นั่นหมายถึงทุกประเทศต้องมีโอกาสได้แสดงจุดยืนได้อย่างชัดเจนในเวทีโลก และแสดงความ ยอมรับหรือไม่ยอมรับต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ยกตัวอย่างที่ General Council ของ WTO ที่จัดประชุมใหญ่ในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ เพื่อรับฟังข้อคิดเห็นของสมาชิกทั้งหมดต่อปัญหาของการกีดกันทางการค้าครั้งใหญ่ เมื่อจะมีการขึ้นภาษีกันอย่างรุนแรงและครอบคลุมสินค้าหลากหลายประเภท และมีการเลือกปฏิบัติต่อบางประเทศ ซึ่งขัดกับกฎบัตรพื้นฐานขององค์การการค้าโลกอย่างชัดเจน

การร่วมกันประณามสิ่งที่เกิดขึ้นที่ Wall Street Journal เรียกว่าเป็น “มาตรการที่งี่เง่าที่สุด” (dumbest measure) อาจจะมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้บ้าง แต่การใช้วิธีการตอบโต้กันอย่างนี้ผลจะเป็นผลเสียต่อผู้บริโภคของทุกฝ่ายในที่สุด และจะไม่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น

การหาทางออกด้วยการเจรจาหารือทั้งผ่านสถาบันระหว่างประเทศระดับพหุภาคีหรือทวิภาคี ในทุกรูปแบบยังคงเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในขณะนี้แม้จะดูว่าเป็นไปได้ยาก ทุกฝ่ายต้องร่วมกันพยายามให้เกิดขึ้น ให้ได้ มหาตมะคานธีเคยพูดไว้ "an eye for an eye will turn the whole world blind."

ประการที่สอง แนวทางการปรับตัวรับกับระเบียบโลกใหม่ คือการที่ไทยและสมาชิกอาเซียนต้องร่วมกันสร้าง ภูมิคุ้มกันของอาเซียนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นต่อไป อาจจะเป็นประโยชน์ยิ่งขึ้นต่อไป อาจจะเป็นประโยชน์ที่สุดหากอาเซียนจะหาเวลาประชุมร่วมกันที่เจนีวา หรือในระดับรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาข้อสรุปจากการประชุมของ WTO General Council ในเดือนกุมภาพันธ์

ทั้งนี้โดยเฉพาะประเทศในอาเซียนอาจจะถูก ทรัมป์ 2.0 ขึ้นภาษีในฐานะที่มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะเวียดนามที่เกินดุลกับสหรัฐฯสูงมากรองลงมาจากจีน ส่วนไทยและมาเลเซียก็อยู่ในเกณฑ์ที่สหรัฐฯอาจจะพิจารณาให้ลดการเกินดุลลงไปได้

การเจรจากับสหรัฐฯจะกระทำได้ดีที่สุดหากอาเซียนสามารถรวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการเจรจาพร้อมกัน โดยเฉพาะน้ำหนักของอาเซียนในกลุ่ม Indo Pacific Forum ที่สหรัฐฯส่งเสริมอยู่ (จากสมัยของ ไบเดน) อาจจะช่วยทำให้สหรัฐฯมองอาเซียนในสายตาที่เป็นมิตรมากขึ้น

ดังนั้นบทบาทของอาเซียนในกลุ่ม BRICS (หรืออาเซียนบางประเทศ) ควรเป็นไปในทางที่ไม่ถือจุดยืนตรงข้ามกับสหรัฐฯ แต่ควรอยู่ในจุดที่ช่วยทำให้ประเทศกำลังพัฒนาสามารถรับกับบทบาทของสหรัฐฯที่คงจะมีการให้ความช่วยเหลือระหว่างประเทศน้อยลง ทำให้กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาต้องหันมามีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนระหว่างกันมากขึ้น

ประการที่สาม ในแนวทางการรับมือกับระเบียบโลกใหม่ ไทยต้องยึดหลักการแก้ปัญหาระยะยาว มีความมั่นคง  คงเส้นคงวาในการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้สำเร็จให้ได้ แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (2018-2037) ให้แนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สร้างความสามารถในการแข่งขัน (เช่น เกษตรชีวภาพ อุตสาหกรรม เทคโนโลยีใหม่ ใช้ระบบ growth pole ในการพัฒนาจังหวัด) สร้างความแข็งแกร่งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ (เช่น พัฒนา soft power ทางการเมือง การรักษาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง) การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน พัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ ฯลฯ

ผลกระทบของระเบียบโลกใหม่และความพร้อมของไทย

แผนนี้ได้รับการปฏิบัติมาเกือบ 10 ปีแล้ว และควรได้รับการประเมินผล เพื่อจะนำข้อสรุปมาปรับปรุงแผนหรือการปฏิบัติตามแผนต่อไป โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาโครงสร้างการผลิตให้มีความหลากหลายเพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลง (โดยเฉพาะในเรื่องอุตสาหกรรมใหม่)

สำหรับการเจรจาต่อรองในกรอบระเบียบโลกใหม่ ภูมิรัฐศาสตร์จะเป็นปัจจัยสำคัญต่อไทยอย่างมากต่อไปในอนาคต เพราะจะมีผลต่อระบบเศรษฐกิจการค้า การลงทุน ความร่วมมือระหว่างประเทศ ที่มีน้ำหนักสูงมากขึ้นเรื่อยๆ การสร้างบทบาทของไทยในเวทีโลก การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ การทำให้เพิ่มบารมีของไทยในระดับพหุภาคี ต้องใช้ความเสมอต้นเสมอปลาย และยุทธศาสตร์ที่ต่อเนื่องระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น เป็นกระบวนการที่ต้องยึดโยงกับการมียุทธศาสตร์ชาติ

ประการที่สี่ เนื่องจากสถานการณ์โลกในระเบียบใหม่ไม่น่าไว้วางใจอยู่หลายประการ โดยเฉพาะหากจะมีการ ปะทะกันทางการทหารเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ รวมทั้งที่อาจจะประทุขึ้นมาในภูมิภาคเอเซียได้ด้วยนั้น เราจึงควรเน้น ความพร้อมของเศรษฐกิจไทยเป็นประเด็นแยกออกมาเป็นพิเศษ เป็นลักษณะของการสร้างภูมิคุ้มกันตามปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงที่อาจจะแยกเป็นข้อๆ ได้ดังนี้

  • ต้องรักษา fiscal space ให้เพียงพอ เพื่อจะมึงบประมาณที่จะสามารถที่จะนำมาใช้ได้ในช่วงภาวะฉุกเฉิน เช่น ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในระยะโรคระบาด COVID-19

  • ไม่ควรมองข้ามความสำคัญของการออม การบริหารเศรษฐกิจมหภาคด้วยการใช้มาตรการกระตุ้นอุปสงค์ (demand management) ต้องมีขอบเขตที่จำกัด ควรมีการเน้นการสร้างสมรรถภาพทางการผลิต และการจ้างงานเป็นเรื่องหลักสำคัญ (เน้น supply side กับ industrial policy ที่ไม่กีดกันการค้า)

  • โครงสร้างการส่งออกของไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่รับกับตลาดทางเทคโนโลยีอยู่น้อย ตามปกติ โครงสร้างการส่งออกไทยจะผูกโยงกับการลงทุนจากต่างประเทศมาก ปัจจุบัน FDI ของไทยดูจะตามไม่ทัน สมาชิกอื่นในอาเซียน และการรายงาน BOI เป็นเพียงแค่การจดทะเบียนของการขอรับการส่งเสริมการลงทุน เท่านั้น ส่วนตัวเลขการลงทุนใหม่ที่มีอยู่น้อยกว่ามากไม่เป็นที่ปรากฏชัด จำเป็นต้องแก้ไขปัญหาให้ผู้ขอรับการ ส่งเสริมเร่งการลงทุนอย่างจริงจัง

  • ไทยต้องแยกแยะให้ชัดเจนในเรื่องการพัฒนา soft Power ที่เป็นเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (creative economy) และที่เป็นเชิงพลังทางด้านการเมือง (political leverage) เช่น จุดยุทธศาสตร์ที่ตั้งของประเทศไทย พลังด้านการผลิตอาหาร ความยึดมั่นในเศรษฐกิจพอเพียง ประวัติความสามารถในการเจรจาเชิงการทูต

  • หากสามารถมีงบประมาณที่จะเจียดออกมาใช้ได้เป็นพิเศษ ควรจะยึดเรื่องประชานิยม (welfarism) น้อยลง และจัดแบ่งมาใช้ในภาคที่ต้องพัฒนาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในการกระจายการลงทุนไปสู่ภาคชนบทที่สำคัญคือเพื่อปรับปรุงสมรรถภาพและผลิตภาพของการเกษตร การกระจายการศึกษาที่มีคุณภาพสู่ชนบท และการกระจา ยการดูแลสุขภาพสู่ชนบท รวมทั้งการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนในทุกภาคของประเทศ โดยเฉพาะใน ภาคที่มีความยากจนสูงสุด

  • ลดการพึ่งพาพลังงาน fossil และพลังงานที่ต้องนำเข้าที่จะมีการติดขัดในกรณีมีภาวะฉุกเฉินจากสงคราม และ พัฒนาแหล่งพลังงานหมุนเวียนในประเทศอย่างเต็มที่ และหลีกเลี่ยงการผูกขาดทางการผลิตพลังงานอย่าง จริงจัง การพัฒนาเศรษฐกิจเขียวควรจะชัดเจนตามแนวทางของแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

  • แม้ภาคเศรษฐกิจการท่องเที่ยวจะเป็นประโยชน์ต่อไทย เราควรต้องคำนึงถึงต้นทุนและการพึ่งพาการท่องเที่ยว ที่มากจนเกินไป ที่ทำให้ความตั้งใจที่จะพัฒนาภาคเศรษฐกิจการผลิตที่แท้จริงและการสร้างแหล่งของการจ้าง งานที่มั่นคงขึ้นไม่ได้รับการเอาใจใส่อย่างจริงจังเท่าที่ควร จะเห็นได้จากการที่โครงสร้างการผลิตอุตสาหกรรม และการส่งออกของไทยมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างค่อนข้างน้อยในทศวรรษที่ผ่านมา

  • ส่งเสริมระบบพหุภาคีอย่างเต็มความสามารถแม้จะมีความพยายามของประเทศมหาอำนาจเช่นสหรัฐฯที่จะ แยกตัวออกไป ควรจัดให้ไทยมีบทบาทมากขึ้นในองค์กรระหว่างประเทศด้วยการวางแผนส่งเสริมบุคลากรของ ไทยในระดับโลกอย่างเป็นระบบโดยไม่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย

  • ลดการให้ความสำคัญกับอัตราการเพิ่ม GDP ที่ไม่ได้วัดและบันทึกภาคนอกระบบ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนาที่ยั่งยืน กิจกรรมทางสังคม การกระจายรายได้ ฯลฯ UN เสนอให้ look beyond GDP และพยายาม ใช้ตัวแปรของการพัฒนาทางสังคมมากขึ้น เช่น จำนวนประชากรต่อแพทย์ ระดับคุณภาพการศึกษาในชนบท อัตราการเพิ่มของผู้มีรายได้ในกลุ่มต่ำสุด คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ