วันแม่ปี65 เงินสะพัด10,880ลบ.สูงสุดในรอบ11ปี

09 ส.ค. 2565 | 06:16 น.

วันแม่ปี65 เงินสะพัด10,880ลบ.สูงสุดในรอบ11ปี  เนื่องจากประชาชนไม่ค่อยกังวลกับสถานการณ์โรคภัยไข้เจ็บ  ปีนี้ลูกๆวางแผนใช้จ่ายในการทำกิจกรรมร่วมกับแม่เพิ่มขึ้นถึง 40.2%

นายธนวรรธน์  พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ และธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า สุดสัปดาห์นี้ เป็นช่วงหยุดยาววันแม่แห่งชาติปี 2565  ศูนย์พยากรณ์ฯได้ ประเมินปีนี้ ประชาชน วางแผนใช้จ่ายในการทำกิจกรรมกับแม่มากขึ้น เนื่องจากความกังวลต่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง โดยจะมีเงินสะพัดกว่า 10,880 ล้านบาท ขยายตัว 9%เมื่อเทียบกับปี 2563 เนื่องจากในปี 2564 ไม่ได้ทำการสำรวจจากสถานการณ์โควิด สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2555 จากในปี 2554 ที่ขยายตัวถึง 12.7% เนื่องไม่ค่อยกังวลกับสถานการณ์โรคภัยไข้เจ็บ

นายธนวรรธน์  พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ และธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

จากสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายในช่วงหยุดวันแม่แห่งชาติปีนี้ จากกลุ่มตัวอย่าง 1,288 ตัวอย่างทั่วประเทศ มีประมาณ 59.4% ยังไม่มีบุตร และส่วนใหญ่ 75.5% ยังอาศัยอยู่กับแม่ เนื่องจากเป็นครอบครัวเล็กและต้องการดูแลแม่ โดยปีนี้ มีการวางแผนใช้จ่ายในการทำกิจกรรมร่วมกับแม่เพิ่มขึ้นถึง 40.2%  เนื่องจากเป็นวันพิเศษ และเชื่อว่าเศรษฐกิจกำลังจะดีขึ้น เพราะมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น ส่วนอีก 36.5% วางแผนการใช้จ่ายลดลง เพราะยังมองว่าเศรษฐกิจไม่ดี  จึงต้องการประหยัด และมีภาระค่าใช้จ่าย - มีหนี้มากขึ้น

วันแม่ปี65 เงินสะพัด10,880ลบ.สูงสุดในรอบ11ปี

สำหรับกิจกรรมส่วนใหญ่จะพาแม่ไปทานข้าวนอกบ้าน ใช้เงินเฉลี่ย 1,880 บาท / ไปทำบุญ เฉลี่ยประมาณ 1,541 บาท และพาไปเที่ยวต่างจังหวัดทั้งแบบไม่ค้างคืน ประมาณ 4,900 บาท  ส่วนแบบค้างคืน ใช้จ่ายมากกว่า 10,000 บาท นอกจากนี้ยังเตรียมซื้อของขวัญ ทั้งทองคำ และเงินสด รวมไปถึงนำพวงมาลัย/ดอกไม้ และเครื่องดื่มบำรุงร่างกายเพื่อไหว้แม่

วันแม่ปี65 เงินสะพัด10,880ลบ.สูงสุดในรอบ11ปี

“ผลสำรวจนี้ ถือเป็นโพลแรก ที่สะท้อนชัดเจนถึงภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว หลังจากคนเริ่มคลายความกังวลกับสถานการณ์โควิด ทำให้เริ่มกลับมาใช้จ่ายมากขึ้น สอดคล้องกับข้อมูลของหลายหน่วยงาน เช่น ยอดขายรถ-ขายบ้าน และตัวเลขการการจับจ่าย ซึ่งมากจากการส่งออกที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ปีนี้ คาดว่าจะโต 5-8% รวมทั้งการท่องเที่ยวที่เริ่มดีขึ้น คาดว่า นักท่องเที่ยวจะเข้าไทย 8-10 ล้านคนในปีนี้ ทำให้เศรษฐกิจค่อยๆปรับตัวดีขึ้น”

แต่ทั้งนี้ถือว่าเศรษฐกิจยังฟื้นตัวแบบเปราะบาง เพราะค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทำให้ประชาชนยังมีรายได้ไม่เพียงพอกับการใช้จ่าย ดังนั้นสิ่งสำคัญ คือรัฐบาล จำเป็นต้องดูแลราคาพลังงานทั้งราคาน้ำมัน และค่าไฟฟ้า เพื่อตรึงค่าครองชีพ แม้อัตราเงินเฟ้อเดือนล่าสุดกรกฎาคม จะอยู่ในระดับชะลอจากเดือนมิถุนายน ไม่มีแรงกดดันต่อค่าครองชีพ และต้องติดตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ จะปรับขึ้นกี่ครั้ง แต่คาดว่าในเดือนสิงหาคมนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย จะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.25% แน่นอน เพื่อดึงเงินเฟ้อ ส่วนจะพิจารณาปรับขึ้นอีก ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยมุมมองของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้ จะโตได้ 3-3.5%