ผู้เลี้ยงหมู ค้านนำเข้าหมู หวั่นทำลายเกษตรกร ตรึงราคาหน้าฟาร์ม110บาท/กก.

10 ม.ค. 2565 | 13:32 น.

ผู้เลี้ยงหมู ค้านนำเข้าหมู หวั่นทำลายเกษตรกร ตรึงราคาหน้าฟาร์ม110บาท/กก.ไประยะหนึ่ง ค้านนำเข้าหมู หวั่นทำลายเกษตรกร ขอรัฐเร่งช่วยเกษตรกรกลับเข้าเลี้ยงเพิ่มซัพพลายโดยเร็ว

นายปรีชา กิจถาวร นายกสมาคมการค้าผู้เลี้ยงสุกรภาคใต้ เปิดเผยภายหลังประชุมหารือการแก้ปัญหาราคาสุกร ร่วมกับ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ และสมาคมการค้าผู้เลี้ยงสุกรจังหวัดนครศรีธรรมราช ว่าขณะนี้ทั้งลูกสุกร สุกรขุน และแม่พันธุ์ หายไปจากระบบกว่า 50% จากการที่พี่น้องเกษตรกรเลิกเลี้ยงหรือหยุดการเลี้ยงไปกว่าครึ่ง จากความไม่มั่นใจในสถานการณ์ของอุตสาหกรรม ภาวะขาดทุนสะสมกว่า 3 ปี ปัญหาโรคในสุกร และต้นทุนที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ทั้งจากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้น และการป้องกันโรคอย่างเข้มงวดที่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก

ผู้เลี้ยงหมู ค้านนำเข้าหมู หวั่นทำลายเกษตรกร  ตรึงราคาหน้าฟาร์ม110บาท/กก.

 

“ราคาหมูเพิ่งปรับขึ้นมาในช่วง 1 เดือนเท่านั้น จากปริมาณหมูที่ลดลงต่อเนื่อง ไม่สอดคล้องกับการบริโภคที่สูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ภาวะนี้แค่ช่วยให้คนเลี้ยงพอมีเงินใช้หนี้และเดินหน้าอาชีพต่อ ส่วนที่มีบางฝ่ายแนะนำให้มีการนำเข้าเนื้อหมู เกษตรกรไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น เพราะความต้องการซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้ผลผลิตหมูไม่เพียงพอกับการบริโภค ซึ่งยังไม่ทราบปริมาณความต้องการที่แท้จริงของตลาด การนำเข้าเนื้อหมูจะเป็นการซ้ำเติมปัญหา กระทบกับภาวะราคาตกต่ำจากผลผลิตล้นตลาด อย่างที่เกษตรกรเผชิญมาตลอด 3 ปี

ผู้เลี้ยงหมู ค้านนำเข้าหมู หวั่นทำลายเกษตรกร  ตรึงราคาหน้าฟาร์ม110บาท/กก.

และยังมีผลต่อแรงจูงใจของผู้เลี้ยงที่กำลังจะกลับเข้าระบบ เพราะหมูไทยไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับเนื้อหมูต่างประเทศที่มีต้นทุนต่ำว่าไทย เนื่องจากสามารถผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ได้ภายในประเทศ ขณะที่ไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ จึงมีต้นทุนส่วนนี้มากกว่า อย่างไรก็ตาม ล่าสุดสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ประกาศราคาหมูขุนมีชีวิตหน้าฟาร์ม อยู่ที่กิโลกรัมละ 110 บาท โดยเกษตรกรจะร่วมกันตรึงราคาจำหน่ายหมูหน้าฟาร์มไม่ให้เกินราคานี้ไประยะหนึ่ง เพื่อให้ตลาดปรับตัวได้และช่วยพี่น้องประชาชน” นายปรีชา กล่าว

ผู้เลี้ยงหมู ค้านนำเข้าหมู หวั่นทำลายเกษตรกร  ตรึงราคาหน้าฟาร์ม110บาท/กก.

นายกสมาคมการค้าผู้เลี้ยงสุกรภาคใต้ กล่าวอีกว่า อุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกร ยังทำหน้าที่ปกป้องพี่น้องเกษตรกรผู้เพาะปลูกพืชวัตถุดิบอาหารสัตว์ ทั้งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง และปลายข้าว ร่วม 7 ล้านครัวเรือน รวมไปถึงเป็นห่วงโซ่สำคัญของภาคเวชภัณฑ์ ผู้ผลิตอุปกรณ์การเลี้ยง ระบบขนส่ง และภาคธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องได้รับผลกระทบต่อเนื่องกันหากภาคผู้เลี้ยงสุกรต้องล่มสลายไป จากความสามารถการแข่งขันที่ถดถอย “ความมั่นคงทางอาหารของประเทศจะสั่นคลอน” หากประเทศไทยต้องหันไปพึ่งพาการนำเข้าอาหารจากต่างประเทศมากขึ้น ที่สำคัญยังมีผลกระทบด้านสุขอนามัยและความเสี่ยงจากสารตกค้างที่มีต่อผู้บริโภค และอาจมีโรคติดต่อในสุกรที่ติดมากับเนื้อสุกรต่างประเทศ ส่งผลร้ายแรงต่ออุตสาหกรรมสุกรของไทย

ทั้งนี้ การที่ภาครัฐออกมาตรการเร่งด่วน ระยะสั้น และระยะยาวเพื่อเร่งแก้ปัญหา โดยเฉพาะการสำรวจความพร้อมของผู้เลี้ยงให้กลับมาเลี้ยงสุกรรอบใหม่อีกครั้ง สมาคมฯ ต่างเห็นด้วยกับมาตรการนี้เพื่อให้เพื่อนร่วมอาชีพที่มีความพร้อมด้านโรงเรือน อุปกรณ์ และกระบวนการอยู่แล้วได้ร่วมกันผลิตสุกรเพื่อป้อนตลาดให้เร็วที่สุด ภายใต้การป้องกันโรคในระดับสูง ที่จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐทั้งเรื่องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ เพื่อจูงใจให้เกษตรกรฟื้นอาชีพได้โดยเร็ว สำหรับพื้นที่ภาคใต้มีเกษตรกรกว่า 2 หมื่นราย ในจำนวนนี้หายไปจากระบบ 50% ซึ่งทุกคนต่างต้องการกลับมาทั้งสิ้น เพียงแต่ยังขาดการสนับสนุน