“กสอ.” ชี้ ““ผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก” โตสวนกระแสโควิด-19

12 ส.ค. 2563 | 05:05 น.

"กสอ." เผยทิศทางอุตสาหกรรมปลายปี 63 “ผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก” ยังโตต่อเนื่อง คาดมูลค่าตลาด 4.03 หมื่นล้านบาท

นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ “กสอ.” เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ “ผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก” อาทิ อุตสาหกรรมพลาสติก อุตสาหกรรมอาหาร และ อุตสาหกรรมสิ่งทอ มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเพราะพ่อแม่ในยุคปัจจุบันมีงบประมาณที่ใช้เลี้ยงดูลูกเพิ่มมากขึ้น โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์มูลค่าตลาดอยู่ที่ 40,300 ล้านบาทในปี 2562 และยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ถือเป็นโอกาสทองสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ในการพัฒนาขีดความสามารถเพื่อการเข้าถึงส่วนแบ่งทางการตลาด

              ทั้งนี้  แนวโน้มของอุตสาหกรรมที่มีโอกาสครอบครองมูลค่าตลาด คือ อุตสาหกรรมสิ่งทอ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก ที่มีการแข่งขันในเชิงการออกแบบ รวมทั้งมีการพัฒนารูปแบบที่หลากหลายเช่นเดียวกับเสื้อผ้าของผู้ใหญ่ จึงกระตุ้นความต้องการซื้อจากพ่อแม่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมี อุตสาหกรรมอาหาร ในกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการรายย่อย จึงถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับเด็ก ซึ่งต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของอาหาร ความสะดวกในการประกอบอาหารที่ต้องสอดรับวิถีชีวิตคนเมือง และกลุ่มอาหารพิเศษสำหรับเด็กที่แพ้สารอาหารบางชนิด อาทิ โปรตีนในนมวัว กลูเตน โปรตีนเวย์เคซีน

“กสอ.” ชี้ ““ผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก” โตสวนกระแสโควิด-19

              สำหรับบริษัท เอ ลิทเทิล ลัลลาบาย จำกัด ถือเป็นตัวอย่างของอุตสาหกรรมในกลุ่มสิ่งทอ ที่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากให้ความสำคัญกับการศึกษาแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ จึงถือเป็น เอสเอ็มอีดีพร้อม ที่สามารถเจาะตลาดผลิตภัณฑ์แม่และเด็กได้อย่างมีศักยภาพ โดยได้รับการสนับสนุนจาก กสอ. ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าจากใยไผ่ที่นอกจากความนุ่มพิเศษของเนื้อผ้าแล้ว ยังปลอดภัยต่อผิวของทารก และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายใต้ชื่อสินค้า “แนปปี้ เบบี้” ซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ครอบคลุมของใช้จำเป็นสำหรับเด็กอ่อน จนถึง 5 ปี อาทิ ผ้าอ้อมสาลูใยไผ่ ผ้าห่อตัวสาลูใยไผ่ ผ้าห่มใยไผ่ เครื่องนอนใยไผ่ และ ชุดเด็กใยไผ่ เป็นต้น

นางเณริศา อิศรางกูร ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ ลิทเทิล ลัลลาบาย จำกัด กล่าวว่า ภายหลังการเข้าร่วมโครงการเพิ่มศักยภาพ “เอสเอ็มอี” (SMEs) ด้วยระบบเทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้บริษัทฯ เข้าใจในกระบวนการสร้างแบรนด์ดิ้งที่ชัดเจนมากขึ้น ทั้งการสร้างเนื้อหาจนถึงการเลือกใช้เครื่องและช่องทางที่เหมาะสมในการสื่อสารไปยังลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ตลอดจนช่วยให้เกิดการบริหารจัดการกระบวนการทำงานที่เป็นระบบ ส่งผลให้ธุรกิจเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ จากการทำตลาดทั้งในและต่างประเทศ เช่น ลาว เวียดนาม บรูไน ฟิลิปปินส์ อเมริกา และเตรียมขยายเพิ่มอีก 6 ประเทศ ซึ่งคาดการณ์ว่าสิ้นปี 2563 จะเพิ่มขึ้นกว่า 100%