บวกกับปัจจัยสงครามราคานํ้ามันระหว่างซาอุดีอาระเบียและรัสเซียที่เกิดขึ้น ส่งผลต่อราคานํ้ามันดิบปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2563 ราคานํ้ามันดิบเวสต์เท็กซัส ลงมาอยู่ที่ 16.50 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล นํ้ามันดิบเบรนท์อยู่ที่ 21.33 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล และนํ้ามันดิบดูไบ อยู่ที่ 18.29 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งถือเป็นราคาที่ตํ่ามาก เมื่อเทียบกับราคานํ้ามันดิบดูไบเฉลี่ยปี 2562 อยู่ที่ 63 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล
ต้นทุนผลิตสูงกว่าราคาขาย
ทั้งนี้เมื่อเทียบกับต้นทุนการผลิตนํ้ามันดิบรายใหญ่ของโลก อย่างสหรัฐอเมริกาที่มีกำลังผลิต 12.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน มีต้นทุนกว่า 36 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล รองลงมาเป็นรัสเซียผลิตได้ 11.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน มีต้นทุนผลิต 15-20 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล และซาอุดีอาระเบีย ต้นทุนผลิตอยู่ที่ 5-9 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนของไทยนั้นมีต้นทุนผลิตนํ้ามันดิบบนบกอยู่ที่กว่า 20 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล และในทะเล 20-50 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล
ดังนั้น ด้วยราคานํ้ามันดังกล่าวจะเป็นอีกปัจจัยที่จะมาพิจารณาว่า การประกาศเปิดประมูลให้ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียม รอบที่ 23 จะดำเนินการได้หรือไม่ หลังจากที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ออกมาระบุให้เลื่อนการประกาศออกไปจากเดือนเมษายน 2563 และจะมาพิจารณาอีกครั้งหลังโควิด-19 คลี่คลายแล้ว
ใช้ราคาเป็นตัวตัดสินใจ
แหล่งข่าวกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า จากเดิมที่จะมีการประกาศเปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบที่ 23 ในเดือนเมษายนนี้ ในพื้นที่ทะเลจำนวน 3 แปลง ครอบคลุมพื้นที่ 34,873 ตารางกิโลเมตร แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก แต่ละประเทศมีการล็อกดาวน์ กระทบต่อการเดินทาง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานจึงได้เลื่อนการประกาศออกไป จนกว่าสถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลาย
ส่วนจะประกาศให้ยื่นขอสำรวจและผลิตปิโตรเลียม รอบที่ 23 จะดำเนินการได้หรือไม่หลังโควิด-19 จบลงนั้น คงต้องมองปัจจัยของราคานํ้ามันในตลาดโลกเป็นหลัก เพราะหากโควิดฯ จบ แต่ราคานํ้ามันดิบในตลาดโลกอยู่ที่ระดับ 50-60 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ก็เป็นเรื่องลำบากที่นักลงทุนจะสนใจเข้ามายื่น เพราะไม่คุ้มกับต้นทุนการผลิต
“ต้องจับตาดูว่า ราคานํ้ามันในตลาดโลกกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้เมื่อใด หากราคานํ้ามันดิบยังอยู่ในระดับตํ่าไม่คุ้มกับการผลิต ก็คงไม่มีผู้ประกอบการรายใดมายื่น แม้ว่าทั้ง 3 แปลงจะมีศักยภาพที่จะพบปิโตรเลียมก็ตาม เพราะด้วยราคานํ้ามันที่ตํ่ากว่าต้นทุนผลิต
ผู้ผลิตที่อยู่ปัจจุบันหรือผู้ได้รับสัมปทานก็เหนื่อยอยู่แล้ว การจะเปิดให้สำรวจและผลิตใหม่เวลานี้จึงเป็นเรื่องยากที่จะได้รับความสนใจจากนักลงทุน”
เปิดประมูลลากยาว 1-2 ปี
แหล่งข่าวจากวงการอุตสาหกรรม นํ้ามัน เปิดเผยว่า การจะประกาศเปิดให้ยื่นสำรวจและผลิตปิโตรเลียม รอบที่ 23 นี้ คงต้องรอไปอีก 1-2 ปี เป็นอย่างตํ่า เพราะยังไม่รู้ว่าสถานการณ์ โควิด-19 จะจบลงเมื่อใด และความต้องการใช้นํ้ามันจะกลับมาเข้าสู่ภาวะเมื่อใด ท่ามกลางภาวะ นํ้ามันดิบที่ล้นตลาดในเวลานี้
ดังนั้น มองว่ากว่าความต้องการใช้นํ้ามันจะกลับมา และส่งผลต่อราคานํ้ามันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นไปได้ และคุ้มกับต้นทุนการผลิตหรือพอมีกำไรได้คงต้องใช้เวลาอีกนาน ที่สำคัญมองว่า หลังโควิด-19 จบลง ธุรกิจต่าง ๆ และอุตสาหกรรมนํ้ามันจะเปลี่ยนไป (New Normal) ส่งผลต่อความต้องการใช้นํ้ามันไม่เหมือนเดิม ซึ่งจะมีผลให้ราคานํ้ามันดิบกลับมาเหมือนปี 2562 ที่ราคานํ้ามันดิบดูไบ เฉลี่ยที่ 63 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล คงไม่ง่ายและต้องใช้ระยะเวลานาน ประกอบกับการสำรวจและ ผลิตปิโตรเลียมของไทยมีต้นทุนสูงกว่าผู้ผลิตนํ้ามันรายใหญ่ของโลก หากราคานํ้ามันไม่จูงใจก็เป็นเรื่องยากที่นักลงทุนจะสนใจเข้ามายื่นขอสิทธิสำรวจและผลิต
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ หน้า 8 ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,569 วันที่ 26 - 29 เมษายน พ.ศ. 2563