เร่งช่วยครอบครัวแรงงานไทย เหยื่อปะทะในอิสราเอล

19 พ.ค. 2564 | 11:22 น.

กระทรวงแรงงานเร่งดูแลแรงงานไทยที่เสียชีวิต-บาดเจ็บจากเหตุการณ์ปะทะระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ พร้อมช่วยเหลือครอบครัวเหยื่อด้านสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายทันที

19 พ.ค.2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า จากสถานการณ์ ความไม่สงบในประเทศอิสราเอลและปาเลสไตน์ ซึ่งมีการโจมตีโดยกลุ่มฮามาส ที่โมชาฟ โอฮัด (Ohad) ในเมืองเอชโคล (Eshkol) ซึ่งอยู่ห่างจาก ฉนวนกาซา 14 กิโลเมตรนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้แสดงความเสียใจต่อครอบครัวของ แรงงานไทยที่เสียชีวิต และห่วงใยผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด และได้สั่งการให้ กระทรวงแรงงาน เร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อ ให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต รวมทั้งลงพื้นที่แจ้งความช่วยเหลือด้านสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายให้ญาติและครอบครัวของแรงงานไทยที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บทราบในทันที

จากรายงานของฝ่ายแรงงานฯ ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ระบุว่า ได้รับแจ้งข้อมูลจากนายเอล ไซโซ (Eyal Siso) รองอธิบดีกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศอิสราเอลว่า จากการโจมตีด้วยจรวด โดยกลุ่มฮามาสที่โมชาฟ โอฮัด (Ohad) ในเมืองเอชโคล (Eshkol) เมื่อวันอังคารที่ 18 พ.ค.2564 เวลา 14.35 น. แรงระเบิดทำให้แรงงานไทย เสียชีวิต 2 ราย ได้รับบาดเจ็บสาหัส 1 ราย และบาดเจ็บเล็กน้อย 7 ราย

การโจมตีทางอากาศ

โดย แรงงานไทยที่เสียชีวิต 2 ราย ทราบชื่อคือ

1) นายวีรวัฒน์ การันบริรักษ์ อายุ 44 ปี มีภูมิลำเนาเป็นคนจังหวัดเพชรบูรณ์

 2) นายสิขรินทร์ สงำรัมย์ อายุ 24 ปี มีภูมิลำเนาเป็นคนจังหวัดบุรีรัมย์

ส่วน แรงงานไทยได้รับบาดเจ็บสาหัส เข้ารับการผ่าตัดรักษาตัวในโรงพยาบาล 1 ราย คือ นายอัตรชัย ธรรมแก้ว อายุ 28 ปี มีภูมิลำเนาเป็นคนจังหวัดอุบลราชธานี

และจากเหตุการณ์ดังกล่าว ยังมี แรงงานไทยได้รับบาดเจ็บอีก 7 ราย ดังนี้

1) นายณรงค์ศักดิ์ รอดชมพู อายุ 32 ปี มีภูมิลำเนาเป็นคนจังหวัดอุดรธานี

2) นายเชษฐา ผลาพรม อายุ 40 ปี มีภูมิลำเนาเป็นคนจังหวัดอุดรธานี

3) นายธนดล ขันธชัย อายุ 26 ปี มีภูมิลำเนาเป็นคนจังหวัดอุดรธานี

4) นายปรีชา แซ่ลี้ อายุ 32 ปี มีภูมิลำเนาเป็นคนจังหวัดเชียงราย

5) นายสมศักดิ์ จันทร์ภักดี อายุ 26 ปี มีภูมิลำเนาเป็นคนจังหวัดสุรินทร์

6) นางสาวจรัสศรี กล้าแข็ง อายุ 39 ปี มีภูมิลำเนาเป็นคนจังหวัดหนองคาย

7) นายจักรี รัตพลที อายุ 31 ปี มีภูมิลำเนาเป็นคนจังหวัดหนองบัวลำภู


ซากอาคารที่ได้รับความเสียหาย

นายสุชาติ กล่าวด้วยว่า ความช่วยเหลือแรงงานไทยในอิสราเอลที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต จะได้รับค่าตอบแทนจากสำนักงานประกันสังคมแห่งชาติของอิสราเอล (National Insurance Institute) กรณีบาดเจ็บหรือพิการ จะได้รับค่าทดแทน ดังนี้

- บาดเจ็บหรือพิการ 0-10% ไม่ได้รับค่าทดแทน นอกจากค่าจ้างในช่วงที่ทำงานไม่ได้เพราะบาดเจ็บ

- บาดเจ็บหรือพิการ 10-19% ได้รับเงินก้อนครั้งเดียว ไม่เกิน 150,000 เชคเกล หรือประมาณ 1,500,000 บาท

- บาดเจ็บหรือพิการ เกิน 20% ขึ้นไป จะได้รับค่าทดแทนเป็นรายเดือนทุกเดือนจนกว่าจะเสียชีวิต โดยคำนวณจากเปอร์เซ็นต์สูญเสีย

- หากบาดเจ็บหรือพิการ 100% จะได้รับเดือนละประมาณ 6,000 เชคเกล หรือประมาณ 60,000 บาท

สำหรับกรณีเสียชีวิต ภรรยาและบุตรของผู้เสียชีวิตทุกคนจะได้รับเงินช่วยเหลือทุกเดือน จนกว่าภรรยาจะแต่งงานใหม่ หรือลูกมีอายุครบ 18 ปี โดยภรรยาจะได้รับประมาณ 60% ของ 6,000 เชคเกลทุกเดือน หรือประมาณ 36,000 บาท และบุตรจะได้รับประมาณ 10-20% ของ 6,000 เชคเกลทุกเดือน หรือประมาณ 6,000 - 12,000 บาท

การโจมตีของทั้งสองฝ่ายทำให้แรงงานต่างชาติเสียชีวิต

ด้านกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ จะได้รับสิทธิประโยชน์กรณีได้รับบาดเจ็บประสบอันตรายในต่างประเทศ จ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริงไม่เกินคนละ 30,000 บาท กรณีสมาชิกเสียชีวิตในต่างประเทศจะได้เงินช่วยเหลือจำนวน 80,000 บาท แบ่งออกเป็นเงินช่วยเหลือเบื้องต้นจำนวน 40,000 บาท ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการจัดการศพเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 40,000 บาท

สำหรับการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในประเทศอิสราเอล ปัจจุบันประเทศไทยได้รับการจัดสรรโควตาการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในภาคเกษตรประเทศอิสราเอล จำนวน 5,099 คน ได้ดำเนินการจัดส่งไปแล้ว จำนวน 3,100 คน โดยรัฐอิสราเอลจะส่งเครื่องบินเหมาลำมารับทุกวันพฤหัสบดี เวลา 09.00 น. สัปดาห์ละประมาณ 250 คน สำหรับค่าใช้จ่ายเป็นค่าตั๋วเครื่องบินไป – กลับและค่าใช้จ่ายอื่นๆ จะอยู่ที่คนละ 50,000 บาท สัญญาจ้าง 3 ปี จากนั้นสามารถต่อได้อีก 2 ปี รวมเป็น 5 ปี มีรายได้เฉลี่ยคนละประมาณ 45,000 – 50,000 บาทต่อเดือน

ทั้งนี้ ได้กำชับไม่ให้มีการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในพื้นที่ที่เสี่ยงภัยหรือเป็นอันตรายต่อแรงงานไทย และได้สั่งการให้ฝ่ายแรงงานไทยฯ ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ติดตามดูแลคนไทยที่ไปทำงานอย่างใกล้ชิดอีกด้วย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง