ดาวโจนส์ปิดบวก 79.73 จุด รับตัวเลข GDP สหรัฐฯ โตไตรมาส 3/68

24 ธ.ค. 2568 | 01:06 น.
อัปเดตล่าสุด :24 ธ.ค. 2568 | 01:06 น.

ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวก 79.73 จุด รับตัวเลข GDP สหรัฐอเมริกาโตไตรมาส 3/68 ส่วนดัชนี S&P500 ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

KEY

POINTS

  • ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดในแดนบวก เพิ่มขึ้น 79.73 จุด โดยมีปัจจัยหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ
  • สหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลข GDP ไตรมาส 3/2568 ขยายตัว 4.3% ซึ่งแข็งแกร่งและสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
  • ข้อมูล GDP ที่ดีเกินคาดช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth Stocks) แม้จะส่งผลให้นักลงทุนลดการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันอังคาร (23 ธ.ค.) ส่วนดัชนี S&P500 ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 

หลังสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่แข็งแกร่งเกินคาดในไตรมาส 3/2568 

ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนหุ้นเติบโต (Growth Stocks) แม้ข้อมูลดังกล่าวอาจลดโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด (FED) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยก็ตาม

  • ดาวโจนส์ปิดที่ 48,442.41 จุด เพิ่มขึ้น 79.73 จุด หรือ + 0.16%
  • S&P500 ปิดที่ 6,909.79 จุด เพิ่มขึ้น 31.30 จุด หรือ +0.46% และ
  • Nasdaq ปิดที่ 23,561.84 จุด เพิ่มขึ้น 133.02 จุด หรือ +0.57%

ดาวโจนส์ปิดบวก 79.73 จุด รับตัวเลข GDP สหรัฐฯ โตไตรมาส 3/68

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3/2568 โดยระบุว่า GDP ขยายตัว 4.3% ซึ่งเป็นการขยายตัวรวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2566 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัวเพียง 3.3% 

โดยได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งของการใช้จ่ายผู้บริโภค ข้อมูลดังกล่าวเป็นปัจจัยหนุนหุ้นเติบโตในดัชนี S&P500 (S&P500 Growth Index) ดีดตัวขึ้นเกือบ 1% สวนทางกับดัชนีหุ้นคุณค่า (Value Index) ที่แทบจะไม่เปลี่ยนแปลง 

ส่วนหุ้น 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 นั้น หุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารและกลุ่มเทคโนโลยีทำผลงานดีที่สุด โดยปรับตัวขึ้น 1% และ 0.95% ตามลำดับ สวนทางกับหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและกลุ่มเฮลธ์แคร์ที่ปรับตัวลง 0.41% และ 0.2% ตามลำดับ

แม้ความแข็งแกร่งของตัวเลข GDP จะเป็นปัจจัยหนุนหุ้นเติบโต แต่ก็ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นปรับตัวสูงขึ้น และทำให้นักลงทุนลดการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า 

อย่างไรก็ดี เครื่องมือ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 15.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนม.ค. จากเดิมที่ให้น้ำหนัก 24.4% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

นักวิเคราะห์จากบริษัท Wedbush Securities ในซานฟรานซิสโกกล่าวว่า หุ้นเติบโตยังคงทำผลงานได้ดี แต่โอกาสที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยมีน้อยลงนั้น ถือเป็นข่าวร้ายสำหรับหุ้นบริษัทบางกลุ่ม เช่นกลุ่มอาหาร เคมีภัณฑ์ หรือกลุ่มน้ำมันและก๊าซ นอกเสียจากว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวลดลง

หุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยหุ้น Nvidia พุ่งขึ้น 3.01% และเป็นแรงหนุนที่สำคัญต่อดัชนี S&P500 ขณะที่หุ้น Amazon.com พุ่งขึ้น 1.62%, หุ้น Alphabet บวก 1.4% และหุ้น Broadcom พุ่งขึ้น 2.3%

การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อไม่นานมานี้ได้กระตุ้นให้เกิดความหวังว่าจะเกิดปรากฏการณ์ซานตาคลอสแรลลี่ (Santa Claus Rally) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ตามฤดูกาลที่ดัชนี S&P 500 มักจะปรับตัวขึ้นในช่วง 5 วันทำการสุดท้ายของปีและ 2 วันแรกของเดือนม.ค.ปีหน้า โดยในรอบนี้จะตรงกับวันที่ 24 ธ.ค. 2568 จนถึงวันที่ 5 ม.ค. 2569

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ ที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ Conference Board เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐฯ ปรับตัวลง 3.8 จุด สู่ระดับ 89.1 ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 91.7

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนลดลง 2.2% ในเดือนต.ค. มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงเพียง 1.5% ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เปิดเผยว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน แต่เพิ่มขึ้น 2.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี