KEY
POINTS
นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวภายหลังการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนสมัยพิเศษ (Special Meeting of ASEAN Foreign Ministers) ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2568 โดยระบุว่า ไทยให้ความสำคัญและสนับสนุนการแก้ไขปัญหาในกรอบอาเซียน ซึ่งสะท้อนถึง ความเป็นแกนนำของอาเซียน (ASEAN Centrality) ในการคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาค
นายสีหศักดิ์ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมว่า ประเทศไทยมีความปรารถนาดีต่อกัมพูชามาอย่างยาวนาน ตั้งแต่การรับผู้ลี้ภัยในช่วงสงครามกลางเมืองไปจนถึงการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐาน แต่ที่ผ่านมาฝ่ายกัมพูชามักพยายามนำประเด็นทวิภาคีไปขยายผลในเวทีระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ แทนที่จะเน้นการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน
นอกจากนี้ ยังมีการนำเทปบันทึกการหารือมาเผยแพร่เพื่อบั่นทอนรัฐบาลไทย ซึ่งถือเป็นการละเมิดหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในอย่างรุนแรง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เน้นย้ำถึงความสำคัญของ ปฏิญญาร่วม (Joint Declaration) ที่ลงนามกันก่อนหน้านี้ โดยระบุว่าเส้นทางสู่สันติภาพต้องอาศัยการปฏิบัติที่เท่าเทียมกันใน 4 ข้อกำหนดหลัก ได้แก่:
ประเด็นที่ไทยให้ความสำคัญสูงสุดคือ การกู้ทุ่นระเบิด เนื่องจากเกิดเหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดจนขาขาดมาแล้วถึง 6 ครั้ง และล่าสุดเป็นครั้งที่ 7 ในพื้นที่ปราสาทตาควาย ซึ่งทีมผู้สังเกตการณ์อาเซียนยืนยันชัดเจนว่าเป็น ทุ่นระเบิดที่เพิ่งถูกนำมาวางใหม่ ถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาและข้อตกลงที่กรุงกัวลาลัมเปอร์อย่างชัดเจน
ต่อกรณีที่กัมพูชาพยายามสื่อสารกับนานาชาติ ทั้งจีน สหรัฐฯ และยุโรป ว่าพร้อมหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไขนั้น นายสีหศักดิ์ ระบุว่ากัมพูชาไม่เคยส่งข้อเสนอดังกล่าวมายังไทยโดยตรง แต่เป็นการสร้างแรงกดดันจากนานาชาติมากกว่า
"โดยไทยยืนยันว่า การหยุดยิงที่แท้จริงไม่สามารถเกิดขึ้นได้เพียงแค่การประกาศฝ่ายเดียว แต่ต้องมีการเจรจาเพื่อกำหนดมาตรการตรวจสอบและรายละเอียดในทางปฏิบัติที่ทั้งสองฝ่ายจะเคารพร่วมกันอย่างเคร่งครัด" นายสีหศักดิ์ กล่าว
ที่ประชุมได้ตกลงตามข้อเสนอของฝ่ายกัมพูชาให้มีการจัดการประชุม คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee หรือ GBC) ในวันที่ 24 ธันวาคม 2568 นี้ โดยฝ่ายไทยเสนอให้จัดการประชุมขึ้นที่จังหวัดสระแก้ว เพื่อหารือเรื่องมาตรการหยุดยิงและรายละเอียดการปฏิบัติในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งฝ่ายไทยพร้อมที่จะดำเนินการอย่างสร้างสรรค์เพื่อให้เกิดการหยุดยิงที่แท้จริงและยั่งยืน
นอกจากประเด็นชายแดน นายสีหศักดิ์ ยังชี้แจงถึงการปฏิบัติการทางทหารที่ผ่านมาว่าเป็นการพุ่งเป้าไปที่เป้าหมายทางทหารเพื่อ ปกป้องอธิปไตยและศักดิ์ศรีของไทย แม้จะมีข้อมูลว่าศูนย์จัดการแก๊งคอลเซ็นเตอร์บางแห่งถูกใช้เป็นศูนย์ควบคุมกิจกรรมทางทหารของกัมพูชาด้วยก็ตาม แต่ไทยยังมีกรอบความร่วมมืออื่น ๆ ในการกวาดล้างอาชญากรรมไซเบอร์เหล่านี้แยกต่างหาก
ในตอนท้าย นายสีหศักดิ์ ย้ำว่าไทยให้ความสำคัญกับบทบาทของจีนในฐานะพันธมิตรที่สำคัญซึ่งจะช่วยส่งเสริมสันติภาพในภูมิภาคได้ แต่การแก้ไขปัญหาสุดท้ายยังคงต้องอาศัยความพร้อมของทั้งสองประเทศในการเจรจาระดับทวิภาคีเพื่อหาทางออกร่วมกันอย่างยั่งยืน
"การประชุมในวันที่ 24 ธันวาคมนี้ จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการกลับไปปฏิบัติตามปฏิญญาร่วมและสร้างสันติภาพที่ตรวจสอบได้ให้เกิดขึ้นจริงตามแนวชายแดน"