ธนาคารโลกคาดจีดีพีไทยปีนี้โต 4.0%

20 ม.ค. 2564 | 06:14 น.

ธนาคารโลกคาดจีดีพีไทยปีนี้โต 4.0% กรณีการระบาดของโควิดยืดเยื้อต้องใช้มาตรการรุนแรงกว่าปีก่อนอาจกดจีดีพีเหลือ 2.4% ชี้ความเสี่ยงเยอะและหลากหลาย ขณะที่ผลกระทบโควิดทำคนไทยจนเพิ่ม 1.5 ล้านคน

วันที่ 20 ธันวาคม 2564 ธนาคารโลกประเมินเศรษฐกิจของไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการระบาดของโควิดรอบสอง พร้อมประมาณการจีดีพีปี 63 ลดลง 6.5% ก่อนจะขยับเป็น 4.0%และ 4.7%ในปีนี้และปีหน้า แต่กรณีการระบาดของโควิดยืดเยื้ออาจต้องใช้มตรการรุนแรงกดจีดีพีเหลือ 2.4%

 

จากรายงานตามติดเศรษฐกิจไทยของธนาคารโลกฉบับล่าสุด “Restoring Incomes; Recovering Jobs” (การฟื้นฟูรายได้และการจ้างงาน) ที่เปิดตัวไปวันนี้ รายงานดังกล่าวยังได้เน้นว่าการฟื้นตัวของการจ้างงานอย่างยั่งยืนจะมีสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยกลับมาดีขึ้นในปี 2564 และ 2565  


โดยในปี 2563 อุปสงค์ในตลาดโลกที่อ่อนแอ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงอย่างรวดเร็ว และการจำกัดการเดินทางภายในประเทศกดดันการส่งออกสินค้าและบริการ รวมทั้งการบริโภคภาคเอกชน การส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนคาดการณ์ว่าจะลดลง 18.5% และ 4.4% ตามลำดับ ขณะที่การบริโภคภาคครัวเรือนลดลง 1.3%


รายได้ที่ลดลงทำให้หลายคนมีความยากลำบากทางเศรษฐกิจ แม้ว่ารัฐบาลได้ดำเนินการค่อนข้างดีในการออกมาตรการช่วยเหลือครัวเรือนและผู้ประกอบการ แต่อย่างไรก็ตามในปี 2563 คาดการณ์ว่าจะมีประชากรที่เข้าสู่ภาวะยากจนเพิ่มขึ้นอีก 1.5 ล้านคน ตามเส้นแบ่งความยากจนที่ 5.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน (ภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อ 2554) เนื่องจากผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นของโควิด-19  

 

ในปีนี้เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าจะมีการระบาดของโควิด-19 ครั้งที่สองเมื่อเร็ว ๆ นี้ และการเติบโตทางเศรษฐกิจคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.7% ในปี 2565 


 

อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวยังคงอ่อนไหวต่อความเสี่ยงในด้านลบ ซึ่งอาจมาจากการกลับมาแพร่ระบาดซ้ำของโรค ส่งผลให้การท่องเที่ยวและกิจกรรมภายในประเทศซบเซาต่อเนื่อง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกที่อ่อนแอกว่าคาด อาจนำไปสู่ภาวะชะงักงันทางการค้าและห่วงโซ่อุปทานที่ยืดเยื้อ รวมทั้งระดับหนี้ครัวเรือนที่สูง

 

ผลจากการระบาดใหญ่ครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานของประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีการว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างมากในกลุ่มคนวัยรุ่น จำนวนชั่วโมงการทำงานที่ลดลงทำให้รายได้ต่อเดือนน้อยลง จำนวนชั่วโมงการทำงานยังไม่ฟื้นตัวกลับขึ้นมา และการจ้างงานในหลายๆ ภาคอุตสาหกรรม  รวมทั้งภาคการผลิตยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปีก่อนหน้า


 
นั่นหมายความว่าตลาดแรงงานยังอยู่ในภาวะที่เปราะบางต่อความไม่แน่นอนต่างๆ ในอนาคต รวมถึงการกลับมาระบาดซ้ำของโควิด-19

 

“วิกฤตโควิด-19 และผลกระทบทางเศรษฐกิจของวิกฤตครั้งนี้ได้ทำให้เห็นถึงจุดเปราะบางสำคัญของประเทศไทย คือจำนวนคนวัยทำงานที่ลดลง อันเป็นส่วนหนึ่งของความท้าทายในการฟื้นฟูความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว” นาย เบอร์กิท ฮานสล์ ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย กล่าว 

 

“การเพิ่มการจ้างงาน ผลิตภาพ และรายได้แรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ยากจน เป็นสิ่งจำเป็นต่อการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน” 
 

รายงานดังกล่าวยังแนะนำว่าในระยะสั้น รัฐบาลต้องจัดให้มีโครงการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มพูนทักษะของแรงงานและให้ความช่วยเหลือทางการเงินเมื่อแรงงานกลับไปทำงาน สิ่งที่รัฐบาลจำเป็นต้องพยายามทำอย่างต่อเนื่องคือการทำให้มั่นใจว่าการให้ความรู้และการฝึกอบรมสอดคล้องกับความต้องการของผู้จ้าง


ในระยะยาวรัฐบาลสามารถเพิ่มการจ้างงานในภาคการดูแล ทำให้การดูแลเด็กเข้าถึงมากยิ่งขึ้น และลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยเพิ่มการจ้างงานของแรงงานผู้หญิง รายงานนี้ยังแนะนำให้ขยายอายุเกษียณออกไปและให้วางแผนโครงการจ่ายค่าตอบแทนตามผลงานและให้มีการจัดระบบการทำงานที่ยืดหยุ่นเพื่อยืดอายุการทำงานให้กับผู้สูงวัยอีกด้วย


“การลดลงของประชากรวัยทำงานจะทำให้อุปทานแรงงานและผลผลิตทางเศรษฐกิจลดลงในช่วงหลายทศวรรษข้างหน้า ประเทศไทยจะต้องสร้างตำแหน่งงานที่มีคุณภาพในภาคส่วนที่มีผลิตภาพสูงซึ่งสัมพันธ์กับเศรษฐกิจแห่งความรู้ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย การดำเนินนโยบายเพื่อเพิ่มผลิตภาพแรงงานและการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานของผู้สูงอายุและสตรีสามารถช่วยส่งเสริมการฟื้นตัวจากโควิด-19 ได้อย่างยั่งยืน ในขณะเดียวกันก็เป็นการรับมือกับความท้าทายที่มาพร้อมกับภาวะประชากรสูงวัยด้วย” นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของธนาคารโลกประจำประเทศไทยกล่าว

 


นายเกียรติพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประมาณการเศรษฐกิจไทย ปัจจุบันดีขึ้นกว่าเดิม ด้วยมาตรการภาครัฐแนะนโยบายทางการคลังที่สามารถออกมาจำนวนมากและทำได้เร็ว  แต่เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปโดยต้องใช้เวลา 2 ปีกว่าจะกลับไปที่ระดับก่อนโควิด 


อย่างไรก็ตาม ประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้ กรณีโควิดยังแพร่ระบาดอยู่อาจต้องใช้มาตราการค่อนข้างรุนแรงกว่าปี2563 คาดจีดีพีจะโตลดเหลือ 2.4% และผลกระทบจากโควิดยังทำให้รายได้ต่อหัวลดลง โดยปีที่แล้วเส้นความยากเส้นลดลงคือมีคนจนลด62%แต่ผลกระทบจากโควิดประมาณการว่าจะมี 1.5ล้านคนที่ขยับไปอยู่ภายใต้เส้นความยากจน ทั้งนี้ คนจนในปี 2562อยู่ที่ 3.7ล้านคนและในปี2563คนจนเพิ่มเป็น 5.2ล้านคน 

 

“ความเสี่ยงที่มีเยอะมากและหลากหลายสำหรับเศรษฐกิจ ทั้งเศรษฐกิจโลกที่เติบโตช้ากว่าคาด ,การนำส่งวัคซีนช้า ถ้าต้องขยายเวลาการล็อคดาวน์, จำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับมาช้า และความไม่แน่นอนทางการเมืองยืดเยื้อทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น “

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

"โควิด-19" ฉุดดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมร่วงครั้งแรกในรอบ 8 เดือน

“เราชนะ” เช็กเงินฝากพบ 3 ล้านบัญชี หมดสิทธิรับเงินเยียวยา3500

เปิดไทม์ไลน์"เราชนะ" เริ่มลงทะเบียน www.เราชนะ.com วันไหน รับวงเงินเมื่อไหร่ เช็กที่นี่

นก 3ตัว "ช่วยเหลือผู้เดือดร้อน- กระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า และก้าวเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล"

เจาะลึกมาตรการเยียวยาลูกหนี้จาก 4 แบงก์ใหญ่ ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด