หยุดการเมืองที่หากิน บนความตายของประชาชน

25 พ.ค. 2564 | 23:20 น.

หยุดการเมืองที่หากิน บนความตายของประชาชน : คอลัมน์ข้าพระบาท ทาสประชาชน ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3682 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 27-29 พ.ค.2564 โดย...ประพันธุ์ คูณมี

นับตั้งแต่โควิด-19 ระบาดระลอกแรกในไทย เมื่อ 31 มกราคม 2563 ที่ปรากฎรายงานว่าพบผู้ป่วยที่ติดเชื้อรายแรก มีผู้ป่วยยืนยัน 40 ราย ในเดือนกุมภาพันธ์ และขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 100 ราย จากคลัสเตอร์สนามมวยลุมพินี เมื่อ 6 มีนาคม 2563 แต่การรับมือกับปัญหาของรัฐบาลในระลอกแรก ยังสามารถจัดการและรับมือได้ดี เป็นที่ยอมรับจากประชาชน และเป็นที่ยกย่องไปทั่วโลก เพราะรัฐบาลได้ระดมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิทางการแพทย์มาข่วยเหลือให้คำแนะนำ มีการจัดตั้ง ศบค. ขึ้นบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ โดยไม่ปล่อยให้นักการเมืองมากำกับ  มีการให้ข้อมูลสื่อสารกับประชาชนโดยโฆษก ศบค.มารายงานแก่ประชาชนโดยไม่สับสนทุกวัน การจัดการปัญโดยโปร่งใสตรงไปตรงมา จึงได้รับความร่วมมือด้วยดีจากประชาชน จึงผ่านพ้นวิกฤติระลอกแรกมาได้

เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2563 ด้วยความประมาท การ์ดตกของเจ้าหน้าที่รัฐ และฝ่ายรัฐบาลเสียเอง จึงเกิดการระบาดระลอกใหม่ จากแรงงานต่างด้าวที่มีการลักลอบเข้าไทย จนเกิดการแพร่เชื้อและพบการระบาดระลอกใหม่อีกครั้งมากกว่าเดิมที่ตลาดกลางกุ้ง สมุทรสาคร และแพร่เชื้อไปสู่จังหวัดอื่นเป็นจำนวนมาก

ช่วงส่งท้ายปีเก่า ต่อเนื่องมาถึงเทศกาลสงกรานต์ เมษายน 2564 เป็นช่วงเวลาที่คนไทยพอจะมีความสุขบ้าง ก็พบการระบาดใหม่เป็นระลอกที่ 3 จากคลัสเตอร์บันเทิงย่านทองหล่อ, บ่อนการพนันขนาดใหญ่ และ นราธิวาส ต่อเนื่องมาเป็นระลอกที่ 4-5 ที่มีทั้งตลาด แคมป์คนงานก่อสร้าง และแม้กระทั่งในเรือนจำ ทำให้เหตุการณ์ระบาดลุกลามบานปลาย จากที่มีผู้ป่วยหลักร้อยหลักพัน เสียชีวิตหลักสิบ ขยายตัวจนกระทั่งมีผู้ติดเชื้อสะสมเป็นหลักแสน มีผู้ป่วยรักษาอยู่ในโรงพยาบาลหลักหมื่น เสียชีวิตเกือบพันคน

แต่การรับมือกับปัญหาของรัฐบาลในสถานการณ์ระบาดครั้งใหม่ กลับด้อยประสิทธิภาพลง ดูสับสนวุ่นวาย ไม่มีความเป็นเอกภาพในการบริหารจัดการเหมือนครั้งแรก แถมยังมีการให้สัมภาษณ์โจมตี โยนความผิดไปมาระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล กับฝ่ายบริหารจัดการ จนทำให้ประชาชนสงสัยและสิ้นหวัง งงงวยไปตามๆ กันว่าเกิดอะไรขึ้นภายในรัฐบาลลุง จากที่คนเคยไว้ใจกลายเป็นทุกวงสนทนา ล้วนตั้งข้อสงสัยไม่ไว้ใจในการจัดการปัญหาของรัฐบาล กลายเป็นกระแสการเมือง ทำลายศรัทธาของรัฐบาลให้เสื่อมความนิยมลงไป

สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ระลอกนี้ กล่าวสำหรับประเทศไทยคนไทย ต้องถือว่าหนักหนาสาหัสอย่างยิ่ง มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นทุกวันๆ ละไม่ต่ำกว่า 2,000 ราย มีคนตายวันละ 30-40 ราย แทบทุกวัน ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมพุ่งสู่หลักหลายแสนราย โดยยังไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดและเบาบางลงเมื่อใด

นี่คือสถานการณ์ประเทศ ที่ชีวิตประชาชนแขวนอยู่บนความตาย ไม่รู้ว่าวันนี้พรุ่งนี้จะถึงคิวใคร ทุกคนทุกครอบครัวต่างวิตกกังวลต่อโรคร้ายนี้ว่า มันจะคร่าชีวิตตนเองและญาติพี่น้อง คนที่รักในครอบครัวของตนเมื่อใด ความหวังเดียวของประชาชนทุกคน จึงรอคอยความหวังอยู่ที่วัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ที่รัฐบาลทุ่มเทในการจัดหามาเพื่อฉีดให้แก่ประชาชน โดยจะดำเนินการกระจายฉีดแก่ประชาชนอย่างทั่วถึงให้มากกว่า 50% ของประชากรทั่วประเทศ ตามประกาศที่แจ้งแก่ประชาชนและให้ทุกคนมาลงทะเบียนในช่องทางต่างๆ

แต่แล้วข่าวเรื่องการบริหารจัดการเกี่ยวกับการกระจายและจัดสรรวัคซีนเพื่อฉีดให้แก่ประชาชน ในท้องที่และจังหวัดต่างๆ กลับปรากฏแต่เรื่องราวที่สะท้อนความอัปยศที่ไม่ควรเกิดขึ้นมาโดยต่อเนื่อง บนปัญหาความตายของประชาชน ด้วยปัญหาการจัดการที่ล่าช้า ไม่ทั่วถึง มีความเหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรม และไม่เสมอภาคในการกระจายวัคซีนไปถึงกลุ่มประชาชน

จากกรณีปัญหาวัคซีนดังกล่าว ปรากฏเป็นข่าวไปอย่างกว้างขวาง โดยเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ ล้วนพุ่งเป้าไปที่พรรคการเมืองร่วมรัฐบาล ที่กำกับดูแลกระทรวงสาธารณสุข จึงเป็นปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลลุง ไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด ในสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้

การรับมือกับปัญหาโควิดระลอกใหม่ เป็นปัญหาเดิมปัญหาหนึ่งที่ดำรงอยู่ โดยระบบการแพทย์และสาธารณสุขของไทย ต้องทำงานหนักเพื่อรับมือเป็นรายวัน แต่ประชาชนยังเชื่อว่าบุคลากรทางการแพทย์รับมือได้ ส่วนเรื่องการจัดสรรวัคซีนเพื่อฉีดให้แก่ประชาชน กลับกลายเป็นปัญหาที่สร้างความวิตกกังวลไม่สบายใจแก่ประชาชน จึงเป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรี ต้องมากำกับดูแลและดำเนินการเอง

ด้วยกลไกที่มีหลักประกันได้ว่า วัคซีนจะถูกกระจายไปยังประชาชนโดยเป็นธรรมและทั่วถึงตามเป้าหมาย มิใช่ปล่อยให้นักการเมืองหรือกลุ่มผลประโยชน์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากวัคซีน ไม่ว่าผลประโยชน์ในทางการเมืองหรือทางธุรกิจใดๆ ก็ตาม และไม่ควรปล่อยให้พรรคการเมือง เอาวัคซีนที่รัฐบาลใช้งบประมาณแผ่นดินจัดซื้อจัดหามาเพื่อประชาชน ไปใช้เป็นเครื่องมือหาเสียง โดยอาศัยอำนาจทางการเมือง ใช้อภิสิทธิ์จัดสรรให้เขตเลือกตั้ง หรือจังหวัดของตนเองเป็นพิเศษ โดยปราศจากหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมและเป็นธรรม เพราะหากรัฐบาลปล่อยให้เป็นไปในสภาพเช่นปัจจุบัน ก็เท่ากับรัฐบาลส่งเสริมให้มีการหาประโยชน์บนปัญหาความตายของประชาชนนั่นเอง

วันนี้ประชาชนเข้าใจเรื่องวัคซีน เห็นคุณค่าความจำเป็นและพร้อมฉีด ทุกคนได้ลงทะเบียนจองคิว หรือแม้แต่รัฐบาลจะจัดให้วอล์กอิน ทุกคนก็พร้อม ปัญหาอยู่ที่หมอพร้อม รัฐบาลพร้อมหรือไม่เท่านั้น การเริ่มฉีดครั้งใหญ่ทั่วประเทศตั้งแต่ มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป หากการบริหารจัดการมิได้เป็นไปตามนัดหมาย ประชาชนที่จองคิวลงทะเบียนไม่สามารถได้รับการฉีดตามกำหนด วัคซีนไม่มีหรือไม่มา การจัดสรรไม่ทั่วถึง มีความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นเมื่อใด หายนะอาจเกิดแก่รัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ปัญหาเรื่องวัคซีนจึงกลายเป็นปัญหาที่เดิมพันถึงความอยู่รอดของรัฐบาล เพราะคนในรัฐบาลสร้างปัญหาขึ้นมาเอง

การหยุดการเมือง ปิดประตูไม่เปิดช่องทางให้นักการเมือง ใช้วัคซีนเป็นเครื่องมือทางการเมืองหาเสียง หรือหากินบนปัญหาความตายของประชาชน จึงเป็นเรื่องจริยธรรมและความรับผิดชอบที่ท้าทายอย่างยิ่งต่อรัฐบาลลุง หากปล่อยให้โรงพยาบาลต่างๆ ถูกเท ประชาชนที่ได้รับนัดหมายให้มาฉีดวัคซีนถูกเท รัฐบาลก็มีโอกาสถูกทิ้งจากประชาชน

จึงเป็นการสมควรแล้วที่นายกฯ ตัดสินใจสั่งทบทวนแผนกระจายวัคซีนโควิดเสียใหม่ โดยไม่ปล่อยให้การดำเนินการอยู่ในมือของ “กลุ่มบุรีรัมย์" เหมือนที่ผ่านมา ด้วยการกระจายไปสู่จังหวัดต่างๆ ให้อยู่ในอำนาจของกระทรวงมหาดไทย ที่แต่ละจังหวัดมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน คณะกรรมการโรคติดต่ออยู่แล้ว เพราะหากปล่อยให้เป็นอำนาจสาธารณสุขจังหวัด ก็จะตกอยู่ใต้อำนาจ "กลุ่มบุรีรัมย์" ที่มีอำนาจเหนือกระทรวงสาธารณสุขเช่นเดิม ทั้งๆ ที่จังหวัดดังกล่าว ไม่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงแต่ได้รับการจัดสรรและฉีดวัคซีนเป็นจำนวนมากยิ่งกว่าจังหวัดอื่นๆ ในพื้นที่เสี่ยงสูงอย่างผิดปกติ

วัคซีนเป็นเรื่องที่ประเทศอื่นจัดการได้ง่ายๆ และกระจายแก่ประชาชนทั่วถึงโดยเร็ว แต่เมื่อมาถึงเมืองไทยกลับกลายเป็นปัญหา กลายเป็นเรื่องยากวุ่นวายและสับสน อย่างไม่สมควรที่จะเกิดขึ้น เป็นภาพสะท้อนให้เห็นปัญหาเรื่องคน เรื่องระบบเครือข่ายและกลไกการจัดการของรัฐบาล สะท้อนปัญหาและคุณภาพของการเมืองไทย ซึ่งในที่สุดหางก็โผล่เผยธาตุแท้สันดานเดิมให้ประชาชนเห็นว่า นักการเมืองไทยบางจำพวกมิเคยเปลี่ยนแปลงสันดานเดิมของตนแต่อย่างใด

พวกเขายังมองทุกอย่างเป็นเรื่องผลประโยชน์ ที่ตนเองต้องได้โดยมิได้คำนึงถึงความรับผิดชอบชั่วดี แม้กระทั่งปัญหาบนความเป็นความตายของประชาชนพวกเขายังไม่เว้น อย่าโทษประชาชนที่ไม่ไว้ใจนักการเมือง อย่าโกรธสื่อที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล และนำข้อมูลมาเสนอต่อประชาชนในเรื่องวัคซีน

รัฐบาลลุงต้องรีบจัดการและหยุดการเมืองที่หากินบนความตายของประชาชนเสียโดยเร็ว ก่อนที่ประชาชนจะหันหลังทิ้งรัฐบาล ให้ต้องจบไปพร้อมโควิดและวัคซีน