อานิสงส์โควิดทำให้ทั่วโลกต้องหันมองไทยมากขึ้น

03 พ.ค. 2563 | 01:04 น.

 

เคยกล่าวไว้ในคอลัมน์ก่อนหน้านี้ว่าในยามวิกฤติ  "โอกาส"มักจะมาพร้อมกันหรือตามมาทีหลังเสมอ  ในท่ามกลางกระแสข่าวร้าย  ไทยก็ยังมีคำชื่นชมตามมาเป็นระยะ  โดยเฉพาะในเรื่องการรับมือกับโรคระบาดไวรัสโควิด-19ที่สามารถควบคุมได้ดีเมื่อเทียบกับหลายประเทศ  อีกทั้งการเอาใจใส่ประชาชนที่เจ็บป่วยดูแลอย่างดีจนหลายประเทศต้องปรบมือให้   

จากอานิสงค์ดังกล่าวขณะนี้มีเสียงแว่วมาจากวงการอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ว่ามีกลุ่มทุนเอกชนรายหนึ่ง กำลังจะย้ายฐานอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศเพื่อนบ้านมายังประเทศไทย  และมีบริษัทหนึ่งที่ปัจจุบันนี้จ้างจีนผลิต  กำลังจะโยกออเดอร์ทั้งหมดมายังประเทศไทย  หลังจากที่การแก้ปัญหาโควิด-19ในประเทศเพื่อนบ้านไทย เช่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สิงคโปร์  ยังควบคุมได้ไม่ดีเท่าประเทศไทยและเวียดนาม

สอดคล้องกับที่ ดร.สัมพันธ์ ศิลปนาฎ ประธานสมาคมนายจ้างอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ กล่าวว่ามีการตั้งข้อสังเกตจากวงการอิเล็กทรอนิกส์ข้ามชาติที่มีฐานการผลิตในประเทศไทย คาดการณ์ว่าการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศหรือทุนFDI จะเกิดการโยกย้ายฐานการผลิตจากประเทศเพื่อนบ้านไทยมาปักฐานยังประเทศไทยและเวียดนามมากขึ้นภายใน1-3ปีนับจากนี้ไป

“ขณะนี้มีกลุ่มทุนเอกชนอย่างน้อย 2-3 รายใหญ่ด้านอิเล็กทรอนิกส์ กำลังจะย้ายฐานการผลิตจากประเทศข้างเคียงเข้ามาในประเทศไทย จากผลพวงที่ประเทศไทยบริหารจัดการไวรัสโควิด-19 ได้ดีมาก ทำให้นักลงทุนมั่นใจการลงทุนระยะยาวมากขึ้นในแง่ความปลอดภัย”

 

อานิสงส์โควิดทำให้ทั่วโลกต้องหันมองไทยมากขึ้น

สอดคล้องกับที่นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ขณะนี้เริ่มมีสัญญาณที่ดีว่า ประเทศไทยสามารถควบคุมการติดเชื้อให้อยู่ในระดับต่ำ สะท้อนถึงขีดความสามารถในการบริหารจัดการด้านสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพสูง อีกทั้งมาตรการของรัฐภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา ก็ได้ผ่อนปรนภาคการผลิตและการขนส่งสินค้าให้ดำเนินการได้ตามปกติมากที่สุด

 

ทั้งหมดนี้จะส่งผลบวกต่อการลงทุน ทำให้นักลงทุนต่างชาติเกิดความเชื่อมั่นในการตัดสินใจเลือกประเทศไทยเป็นแหล่งลงทุนระยาว เพราะมีความเสี่ยงต่ำ และมีความมั่นคงปลอดภัยในการทำธุรกิจ

อานิสงส์โควิดทำให้ทั่วโลกต้องหันมองไทยมากขึ้น

 

ดังนั้นควรใช้วิกฤติครั้งนี้ให้เป็นโอกาส ต่อยอดความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขและอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร ตั้งแต่การผลิตเครื่องมือแพทย์และชิ้นส่วนอุปกรณ์ ชุดตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ ยา วัคซีน ไปจนถึงบริการทางการแพทย์ทั้งการรักษาพยาบาล การเสริมและฟื้นฟูสุขภาพ รวมทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะตอบโจทย์โลกธุรกิจแบบ New Normal ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีดิจิทัล หุ่นยนต์ โดรน อิเล็กทรอนิกส์ หรือเทคโนโลยีชีวภาพ  ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสตอกย้ำจุดแข็งของไทยในการเป็นแหล่งที่น่าลงทุนของภูมิภาค โดยเฉพาะรองรับการย้ายฐานการลงทุนครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นหลังโควิด อันเนื่องจาก Supply Chain Disruption ในช่วงวิกฤติที่ผ่านมา

 

ปัจจุบันการลงทุนจากต่างประเทศที่ยื่นขอรับการส่งเสริมในช่วงไตรมาสแรก (มกราคม – มีนาคม 2563) มีจำนวน 249 โครงการ เงินลงทุน 27,425 ล้านบาท โดยญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีมูลค่าเงินลงทุนมากที่สุด 7,402 ล้านบาท
คิดเป็น 27% ของการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด รองลงมาคือ จีน เงินลงทุน 6,510 ล้านบาท ตามด้วย ฮ่องกง 3,458 ล้านบาท  สิงคโปร์ 3,136 ล้านบาท และอินโดนีเซีย 2,542 ล้านบาท ตามลำดับ

 

สำหรับในแง่อุตสาหกรรมที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยในช่วง3เดือนแรกปี2563 ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่า 9,903 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน 2,402 ล้านบาท  ผลิตภัณฑ์และชิ้นส่วนโลหะ 2,006 ล้านบาท  อุตสาหกรรมการเกษตรและอาหาร 1,911 ล้านบาท และอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 1,085 ล้านบาท

 

เห็นสัญญาณบวกมาแบบนี้ รัฐบาลหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรีบวางแผนคู่ขนานไปพร้อมกับการแก้ปัญหาโควิด   เพื่อเตรียมความพร้อมดึงทุนทั่วโลกหลังพ้นโควิด  หากไม่รีบระวังเวียดนามคู่แข่งสำคัญของไทยจะปาดหน้าเค้กไปอีก