KEY
POINTS
นายนิรุตติ คุณวัฒน์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศ อดีต Trade Policy Analyst ขององค์การการค้าโลก (WTO) เปิดเผยบทความพิเศษ ก่อนจะถึงกัวลาลัมเปอร์: ไทยควรเตรียมตัวอย่างไรในสมรภูมิ Hybrid Warfare มีเนื้อหาที่น่าสนใจว่า
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดของสถานการณ์ไทย–กัมพูชาในขณะนี้ อาจไม่ใช่เพียงข้อได้เปรียบเสียเปรียบจากการปะทะกันตามแนวชายแดน หากอยู่ในประเด็นที่รัฐไทยกำลังเผชิญความขัดแย้งในรูปแบบใหม่ ขณะที่การบริหารจัดการสถานการณ์ยังคงติดอยู่กับกรอบคิดแบบเดิม
แน่นอนว่า รัฐมีหน้าที่ปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชน และกองทัพย่อมทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ แต่ในโลกปัจจุบัน การปกป้องประเทศไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในสนามรบอีกต่อไป หากเกิดขึ้นพร้อมกันในหลายมิติ ทั้งการทูต การสื่อสารสาธารณะ กฎหมายระหว่างประเทศ และการรับรู้ของประชาคมโลก
ด้วยเหตุนี้ความขัดแย้งในยุคนี้จึงถูกเรียกว่า “Hybrid Warfare” หรือสงครามลูกผสม ซึ่งเป็นการผสมผสานเครื่องมือทุกชนิดเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นกำลังทหาร ข่าวสารและข้อมูล กฎหมาย การทูต เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี ซึ่งเป้าหมายไม่จำเป็นต้องเอาชนะทางทหาร แต่คือการทำให้อีกฝ่ายเสียเปรียบเชิงยุทธศาสตร์ ถูกจำกัดทางเลือก และสูญเสียความชอบธรรมในเวทีโลก
ประสบการณ์จากหลายประเทศสะท้อนบทเรียนสำคัญในการทำสงครามลูกผสมได้อย่างชัดเจน เช่น กรณีรัสเซีย–ยูเครนก่อนปี 2022 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้ความคลุมเครือเป็นอาวุธเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Ambiguity)
เราจะเห็นการเคลื่อนไหวของกองกำลังที่ไม่ติดเครื่องหมาย การปฏิเสธความเกี่ยวข้องของรัฐ และการอ้างว่าความรุนแรงเป็นเพียง “ความขัดแย้งภายใน” หรือการ “ปกป้องชนกลุ่มน้อย” ทำให้สถานการณ์อยู่ในสถานะที่คลุมเครือ (Grey Zone)
ในทางกฎหมายและการเมือง ซึ่งทำให้รัฐต่าง ๆ และองค์กรระหว่างประเทศต้องใช้เวลาในการถกเถียงกันเองว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเข้าข่ายการรุกรานหรือไม่ ควรใช้กลไกใดตอบโต้ และจะมีผลผูกพันทางกฎหมายอย่างไร
ความไม่ชัดเจนนี้ทำให้มาตรการคว่ำบาตรและแรงกดดันทางการทูตล่าช้าออกไปเป็นเดือน ซึ่งในเชิงยุทธศาสตร์วิธีการนี้เท่ากับเป็นการ “ซื้อเวลา” ให้ฝ่ายที่สร้างสถานการณ์สามารถขยับสถานะของตนเองบนพื้นที่เป้าหมายได้มากขึ้น
ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะกรณีอิสราเอล–ฮามาส แสดงให้เห็นอีกด้านหนึ่งของ Hybrid Warfare คือการสะท้อนให้เห็นปรากฏการณ์ “ความไม่สมดุลของการเล่าเรื่อง” หรือ Narrative Asymmetry อย่างชัดเจน
กล่าวคือ ฝ่ายที่มีกำลังทางทหารเหนือกว่าถูกดึงเข้าสู่สนามการรับรู้ของสาธารณชนโลก ซึ่งขับเคลื่อนด้วยภาพและอารมณ์มากกว่ากรอบการอธิบายเชิงหลักการ ทำให้การตอบสนองของเวทีโลกถูกขับเคลื่อนด้วยมิติด้านมนุษยธรรมและอารมณ์สาธารณะได้อย่างรวดเร็ว
สถานการณ์เช่นนี้ไม่เพียงแต่สร้าง Narrative Asymmetry แต่ยังสะท้อนการโยนภาระการพิสูจน์ไปยังอีกฝ่ายนึง (Shifting the Burden of Proof) ที่ทำให้รัฐที่ใหญ่กว่าต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการพิสูจน์ความชอบธรรมของตนเองในเวทีโลกอย่างต่อเนื่อง ต้องใช้พลังจำนวนมากไปกับการตั้งรับเชิงคำอธิบาย และทำให้พื้นที่ทางการทูตหดตัวลง แม้สิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงของประเทศจะยังคงอยู่
กรณีทะเลจีนใต้สะท้อนการใช้ยุทธศาสตร์ที่ในเชิงเทคนิคเรียกว่า Salami Slicing Strategy ที่เปรียบเสมือนการค่อยๆ หั่นชิ้นไส้กรอก Salami แบบบางๆ ทีละชิ้น ซึ่งเป็นการใช้วิธีการสร้างข้อเท็จจริงบนพื้นที่ (Creating Facts on the Ground) ผ่านปฏิบัติการในพื้นที่ที่ยังมีความคลุมเครือ (Grey-Zone Operations) โดยดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Incrementalism)
โดยไม่ยกระดับความขัดแย้งจนถึงจุดที่ประเทศอื่นสามารถตอบโต้ได้อย่างเด็ดขาด เพราะเป็นการดำเนินการผ่านการใช้เครื่องมือที่ไม่ถึงขั้นเป็นการใช้กำลังทางทหารแบบเปิด ไม่ว่าจะใช้เรือพลเรือน การก่อสร้างสิ่งปลูกสร้าง หรือการอ้างกฎหมายภายในประเทศ
การดำเนินการในลักษณะนี้ทำให้ประเทศอื่นตอบโต้ได้ยาก เพราะการใช้กำลังกลับเสี่ยงถูกมองว่าเกินกว่าเหตุ ในระยะยาว ข้อเท็จจริงใหม่จึงค่อย ๆ ถูกยอมรับในทางปฏิบัติ แม้ข้อพิพาทจะยังไม่ยุติในเชิงกฎหมายก็ตาม
บทเรียนร่วมจากทั้งสามกรณีสะท้อนบทเรียนสำคัญว่า ในโลกของ Hybrid Warfare ชัยชนะไม่ได้วัดจากกำลังทหารหรือพื้นที่ที่ยึดได้ แต่จากความสามารถในการกำหนดกรอบการรับรู้ของประชาคมโลก
ประเทศที่สามารถสร้างความคลุมเครือ บีบให้อีกฝ่ายต้องตั้งรับเชิงคำอธิบาย หรือถูกเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงโดยไม่เปิดช่องให้เกิดการโต้แย้งได้อย่างชัดเจน มักเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งหากรัฐที่ยังยึดติดกับการมองความมั่นคงผ่านกรอบการทหารแบบดั้งเดิม สุดท้ายอาจพบว่าตนเองเสียเปรียบไปแล้วโดยแทบไม่ทันรู้ตัว
เมื่อเราย้อนกลับมามองสถานการณ์ไทย–กัมพูชา ภาพที่สะท้อนออกสู่สายตานานาชาติในช่วงที่ผ่านมา คือความไม่สอดประสานกันของการเล่าเรื่อง (Narrative) ของฝั่งไทย ขณะที่อีกฝ่ายสามารถปรับตำแหน่งของตนเองให้ถูกมองว่าเป็น “ผู้ถูกรุกราน” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องของการแพ้หรือชนะทางทหาร แต่เป็นเรื่องของการเสียเปรียบในสนามการรับรู้ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการใช้การทูตเป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาในระยะยาว
ในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนสมัยพิเศษ ที่จะจัดขึ้นที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ในวันจันทร์ที่ 22 ธันวาคมนี้ จึงมีความสำคัญมากกว่าการเป็นเวทีหารือทั่วไป หากแต่เป็นสนามยุทธศาสตร์อีกแห่งหนึ่ง ที่รัฐไทยจำเป็นต้องเตรียมตัวกันอย่างรอบคอบ
สิ่งที่ไทยควรเตรียมพร้อมก่อนเข้าสู่เวทีดังกล่าว ไม่ใช่เพียงข้อมูลทางทหารหรือเหตุการณ์รายวัน แต่คือ “กรอบการเล่าเรื่องของรัฐ” ที่ชัดเจนและสอดคล้องกันทั้งระบบ ตั้งแต่ฝ่ายความมั่นคง การเมือง การทูต ไปจนถึงการสื่อสารสาธารณะ เราจำเป็นต้องอธิบายการดำเนินการของไทยบนพื้นฐานของหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ความจำเป็นในการป้องกันตนเอง และความมุ่งมั่นต่อสันติภาพในภูมิภาคเดียวกัน
ที่สำคัญ ไทยควรใช้เวทีอาเซียนไม่ใช่เพียงเพื่อปกป้องจุดยืนของตนเอง แต่เพื่อยืนยันบทบาทของประเทศในฐานะรัฐที่รับผิดชอบ (Responsible State) ซึ่งเข้าใจธรรมชาติของความขัดแย้งยุคใหม่ มีความพร้อมในการบริหารจัดการสถานการณ์อย่างรอบด้าน ไม่ใช่เพียงตอบโต้เป็นรายเหตุการณ์แต่เพียงเท่านั้น
สิ่งที่ผมกังวลก็คือ หากรัฐไทยยังคงแยกการทำงานออกเป็นส่วน ๆ ให้การทหาร การทูต และการสื่อสารสาธารณะเดินคนละจังหวะ เวทีอย่างอาเซียนอาจกลายเป็นพื้นที่ที่เราต้องใช้พลังจำนวนมากไปกับการ “ตั้งรับ” แทนที่จะเป็นพื้นที่ในการขยายทางเลือกเชิงนโยบายของประเทศ
ผมเชื่อว่านักวิชาการและผู้ที่มีประสบการณ์ทำงานด้านเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ น่าจะมองเห็นตรงกันว่า ประเทศไทยยังมีศักยภาพในการบริหารสถานการณ์นี้ได้ดีกว่าที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้ หากเราสามารถปรับวิธีคิดจากการมองความมั่นคงแบบดั้งเดิม ไปสู่การเข้าใจความขัดแย้งเชิงโครงสร้างในโลกยุค Hybrid Warfare อย่างแท้จริง
คำถามสำคัญในวันนี้จึงไม่ใช่แค่เพียงว่า ประเทศไทยจะสามารถรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้าได้มากน้อยเพียงใด แต่อยู่ที่เรามีความพร้อมเพียงใดในการรักษาพื้นที่ทางการทูต ความชอบธรรม และความน่าเชื่อถือของประเทศในเวทีโลก ในยุคที่ความขัดแย้งมิได้ตัดสินกันเฉพาะในสนามรบ หากแต่ดำเนินไปพร้อมกันในสนามการรับรู้ กฎหมาย และการเมืองระหว่างประเทศ
โจทย์สำคัญของรัฐไทยในวันนี้จึงอยู่ที่ความสามารถในการตีความและรับมือกับสงครามลูกผสม หรือ Hybrid Warfare อย่างรอบด้าน ปรับสมดุลของสนามการเล่าเรื่อง (Narrative Asymmetry)
เพื่อมิให้ตกอยู่ในกับดักความชอบธรรม (Legitimacy Trapping) และจะทำอย่างไรในการประสานพลังระหว่างการทหาร การทูต และการสื่อสารสาธารณะได้อย่างเป็นเอกภาพ
ทั้งนี้เพราะหากปล่อยให้ความไม่สมดุลดังกล่าวดำรงอยู่ต่อไป ต้นทุนเชิงยุทธศาสตร์ที่ประเทศต้องแบกรับอาจสูงไม่แพ้การสูญเสียทรัพยากรทางการทหาร ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญในระยะยาวว่า ประเทศไทยจะสามารถธำรงจุดยืน ศักดิ์ศรี และบทบาทในฐานะรัฐที่มีความรับผิดชอบ มีเหตุผล และมีความน่าเชื่อถือในสายตาประชาคมโลกได้มากน้อยเพียงใด