KEY
POINTS
ต่อเนื่องมาจากกรณีปลียอดทองคำพระบรมธาตุเมืองนครนั้น ก็เป็นที่น่าสนใจว่าแหล่งทองคำที่มีอยู่ในบ้านเมืองของเราก็มีหลายแหล่ง ที่ขึ้นชื่อมากในเวลานี้ก็คดีที่ฟ้องร้องกันระหว่างคนทำเหมืองจากออสเตรเลียกับรัฐบาลไทยซึ่งเป็นรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารเมื่อ 10 ปีก่อน เพิ่งจะร้างราการทะเลาะกันไปไม่นานนี้
แหล่งทองคำที่มีชื่อเสียงของไทยในอดีตเห็นทีจะไม่พ้นสามแหล่งหลักคือแหล่งทองคำที่ประจวบคีรีขันธ์ตรงบริเวณอำเภอบางสะพาน ปัจจุบันแหล่งทองคำโต๊ะโม้ะ จังหวัดนราธิวาสแหล่งทองคำที่ศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี โดยสินแร่ทองคำนี้คนโบราณว่าที่ทางบางสะพานให้เนื้อทองคำเต็มอัตรา สุกปลั่งมากกว่าที่อื่น เรียกว่าทองเนื้อเก้า_ทองนพคุณ
โดยอันว่าเนื้อทองนี้ท่านมีเป็นสเกลวัดความบริสุทธิ์แห่งทองคำ ยกให้ว่าทองเนื้อเก้านั้นเป็นเปอร์เซ็นต์ทองคำที่มีความบริสุทธิ์สูงที่สุด ถ้าเนื้อแปดก็รองลงไป ถ้าเนื้อเจ็ดก็รองลงไปอีก
ทองเนื้อเก้าที่มีความบริสุทธิ์สูงอย่างนี้ก็ไม่ต้องเอาไปถลุงไม่ต้องเอาไปเผาไล่เอาโลหะชนิดอื่นออกจากการเจือปนก็ใช้ได้เลย ฝรั่งเรียกว่านักเก็ตก็เป็นของมีค่ามาก
เวลากรมศิลปากรไปเที่ยวบูรณะปลียอดทองคำของพระธาตุต่างๆแล้วชาวบ้านกล่าวหาว่า น้ำหนักทองของเขาหาย ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับข้าราชการสักหน่อย ว่าคนโบราณเวลาทำยอดพระธาตุอาจจะไม่ได้ใช้ทองคำบริสุทธิ์มากนักหรือในบางทีมีการเล่นกลกันบางอย่างเป็นทองคำก็มีเปนของเหมือนทองคำก็มาก
เจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่เขามีความซื่อสัตย์สุจริตเมื่อรับงานมาแล้วเขาก็ต้องเผาไล่ธาตุชนิดอื่นออกจากทองคำเพื่อให้เนื้อทองบริสุทธิ์ขึ้นซึ่งก็ต้องแลกไปกับน้ำหนักที่สูญหาย ก็เลยเกิดเป็นคำคนครหาขึ้นมาว่าทองหาย ซึ่งที่จริงสามารถอธิบายได้ในทางวิทยาศาสตร์และกรรมวิธีการทำของใหม่ให้บริสุทธิ์ โดยต้องมีกระบวนการตรวจสอบอย่างรอบคอบรัดกุมตั้งแต่รับทองเก่าเข้ามาทำการเผาทองแล้วเกิดเป็นทองใหม่ต้องมีกรรมการรู้เห็นประกอบไป
ดังนี้แล้วที่เห็นกันอยู่ว่าเป็นทองแล้วพูดกันว่าทองแท้ไม่แพ้ไฟนั้น มันเป็นทองเนื้อเท่าไหร่กันเชียวที่กำลังคุยกันอยู่ ทองเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกันเป็นอย่างนี้_55
อีทีนี้ที่ทางโบราณเองท่านก็ยังมีการตีสเกลให้ละเอียดลงไปอีกระหว่างเนื้อเรียกว่าขา เช่น ทองเนื้อเจ็ดสองขาอย่างนี้ก็มีเนื้อทองคำที่เต็มและปลั่งมากกว่าทองเนื้อเจ็ดธรรมดาขึ้นมาสองขา เช่นว่า พระพุทธรูปทองคำที่ยิ่งใหญ่อยู่มั่นคงกลางเมืองเช่นที่วัดไตรมิตรปากทางเข้าเยาวราชนั้นพระพุทธรูปทองคำชื่อว่าพระพุทธมหาสุวรรณประติมากรเป็นทองคำเนื้อเจ็ดสองขา (องค์พระทั้งองค์หนัก 5 ตันครึ่งมูลค่าทองคำอย่างเดียวตกประมาณ 13,000 ล้านบาท ไม่นับมูลค่าทางศิลปะและภูมิปัญญาพาพระหนีศัตรูที่องค์พระสามารถถอดประกอบเป็นชิ้นได้โดยมีกุญแจไขสลักซ่อนเอาไว้ให้ที่ฐานพระ)
ส่วนพระร่วงซึ่งอยู่ในวิหารน้อย ที่วัดมหรรณพารามนั้นก็เป็นทองคำ องค์ท่านก็ประกอบกันเป็นชิ้นเช่นกันโดยมีหมุดทองคำตรึง ความบริสุทธิ์ทองคำคำนวณเวลานี้ได้ 60% คิดเป็นกี่ขาต้องเข้าเครื่องสมการคำนวณดู
ในขณะที่บางสะพานนั้นทุกวันนี้ก็ยังมีทองหลงเหลืออยู่ผู้ใดสนใจอยากจะไปร่อนทองก็ขอเชิญที่ตำบลร่อนทองและที่ตำบลกำเนิดนพคุณมีสถานีรถไฟด้วย ชื่อสถานีกำเนิดนพคุณก็คือแหล่งกำเนิดของทองเนื้อเก้านั่นเอง แหล่งทองบางสะพานนี้มีชื่อมาตั้งแต่สมัยอยุธยาครั้งพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ โดยมีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า เจ้าเมืองกุย (บุรี) ร่อนทองได้และได้ส่งทองร่อนหนัก 3 ตำลึง ไปถวายพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
พระองค์จึงเกณฑ์ไพร่จำนวน 2,000 ไปร่อนทองที่บางสะพาน ใช้เวลาร่อนปีเศษ ได้ทองคำหนัก 90 ชั่งเศษ คิดเป็นน้ำหนัก 54 กิโลกรัมหรือ 3,600 บาท(ทองคำ) ในสมัยนั้น จากนั้นนำทองทั้งหมดไปแผ่เป็นทองแผ่นใหญ่หุ้มยอดมณฑป ที่ครอบรอยพระพุทธบาทสระบุรี
ส่วนที่ว่าน้ำหนักส่วนที่ว่าน้ำหนักทองคำเป็นบาทในสมัยนี้ มีน้ำหนัก 15.2 กรัมโดยประมาณนั้น ที่มาก็มีความซับซ้อนอยู่ ว่าเคยเอามาเทียบมูลค่ากับเงินตรากันมาก่อนซึ่งก็คือเงินในหน่วยบาทนี่เอง เช่น ทองที่ยังไม่ถลุง ความบริสุทธิ์ประมาณหนึ่งชั่งแล้วหนักบาทหนึ่ง คนมารอซื้อ โดยยินดีจ่ายค่าเป็นเงินตรา 4 บาท ท่านก็เรียกว่า ทองเนื้อสี่
ทองอีกก้อนหนักบาทหนึ่ง คนซื้อคิดมูลค่าว่าเงิน 5 บาท ซื้อได้ เรียกว่า ทองเนื้อห้า อย่างนี้เป็นต้นจนว่าทองหนักบาทหนึ่ง แต่เนื้อทองดูบริสุทธิ์ดี ตีเป็นราคา 8 บาท 2 สลึง เรียกว่า ทองเนื้อแปดสองขา
ส่วนว่า ทองหนักบาทหนึ่งจากบางสะพานสุกปลั่งเนื้อเต็มดี ผู้คนรอซื้อให้ราคาสูงเป็นเงินสดถึง 9 บาท เรียกว่านพคุณเก้าน้ำ/น้ำเก้า ดังนั้นทองนพคุณเนื้อเก้า จึงหมายถึง ทองที่มีราคาเก้าบาทต่อน้ำหนัก 1 บาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าทุกแหล่งในประเทศไทย และน่าเชื่อว่าเป็น แหล่งทองคำเนื้อดีที่สุดของไทย มาแต่สมัยก่อนเก่า
อีทีนี้ในทางจิตศาสตร์แล้วเชื่อกันว่าทองคำดิบในดินสามารถโยกย้ายที่อยู่ใต้ดินของมันได้เอง พอๆกับสายแร่มีค่าชนิดอื่นๆ ในดินและในทะเล สำนวนที่เขาพูดกันว่าทรัพย์ในดินสินในน้ำนั้นมีเจ้าของและเทวดารักษา
ถ้าคนที่จะเอาไปแล้วเป็นคนท่ามากไม่เหมาะควรจะได้เขา (ผู้เปนเจ้าของรักษา) ก็จะโยกย้ายให้หายไปหมายความว่าขุดเจาะลงไปเท่าไหร่ก็หาไม่เจอทั้งที่มันควรจะอยู่ตรงนั้น!พวกเราชาวเหมืองแร่รู้ซึ้งดีถึงสถานการณ์เช่นนี้แม้จะไปเรียนวิชาธรณีวิทยามาจากเมืองนอกเมืองนา มาก็ตาม
ที่ขาดไม่ได้เลยคือจะต้องไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ท่านผู้ทรงความรู้ทางด้านจิตศาสตร์ที่สำเร็จกสิณโดยเฉพาะกสิณฝ่ายดินฝ่ายน้ำไว้ให้แม่นมั่น ท่านจะเรียกใช้สอยเรียกหัดให้ทำอะไรๆก็ต้องตามท่านว่าสอนสั่ง ราชนิกุลผู้ใหญ่หลายคราวสนใจเรื่องพลังงานความร้อนใต้พิภพลงทุนไปมากแต่เจาะลงไปก็ไม่เจอแหล่งความร้อนทั้งที่สำรวจและคำนวณมาอย่างดี
มหาเศรษฐีเมืองใต้พบแหล่งแร่ในทะเลที่เขตพังงาถึงเวลาเอาเรือขุดเข้ามาก็หาแววไม่เจอ จำเป็นว่าที่สุดทางมนุษย์ปุถุชนแล้วท่านผู้มีคุณวิเศษจะต้องปรากฏตัวเพื่อสงเคราะห์ทั้งคนที่หาของและคนที่ย้ายของ โดยองค์ท่านต้องทำตนเป็นคนกลางกัมประโดแลกเปลี่ยนมูลค่ากับความเป็นกุศลโดยที่ท่านเป็นคนกลางค้ำประกันการแลกเปลี่ยนชนิดนั้นว่าจะเกิดขึ้นจริงและเป็นไปโดยซื่อสัตย์ ระหว่างกัน
พระคุณพระราชอุดมมงคล วิ. หลวงพ่ออุตตมะ อุตมรัมโภ แห่งจังหวัดกาญจนบุรีเป็นหนึ่งในผู้มีความสามารถวิเศษอันนั้นจาก การฝึกฝนและบำเพ็ญบารมีเพียรทางจิต อย่างหนักและแรงกล้า
ขอเทิดทูนคุณวิเศษของท่านอาจารย์มา ณ บรรทัดนี้ด้วยเศียรเกล้าส่วนขั้นพื้นฐานนั้นเป็นเรื่องธรรมดาอยู่เองที่ใครจะไปขุดดินไปหาทองสมบัติใต้พิภพ ก็จะต้องปฏิบัติต่อกันด้วยความเคารพอย่างที่กำเนิดนพคุณนี้ผู้ใดอยากจะทดลองเข้าไปร่อนทองต้องให้ความเคารพโดยการเดินเท้าเปล่าเข้าไปในเขตเหมือง ใครที่ถือเคล็ดนี่มักจะได้ทอง ส่วนคนไม่ถือเคล็ดก็ไม่เป็นไร จะเช่ากระทะเขามาลองร่อนเล่นดูก็ได้สนุกดี
ในฟิลิปปินส์ใช้หยวกกล้วยมาทำเป็นตะแกรงร่อนทองเพื่อดักให้ตะกอนทองซึ่งมีน้ำหนักมากมีความถ่วง จำเพาะสูงหล่นลงไปติดอยู่ในเซลล์ตาข่ายเมมเบรนของ ของต้นกล้วยก็เป็นวิธีที่ออร์แกนิคดีมาก
ส่วนทางเหนือของแถบอาฟกานิสถานใช้หนังแพะหรือหนังแกะ ที่ยังมีขนเป็นตัวดักตะกอนทองคำคนไทยแต่เดิมเชื่อว่าก้อนทองคำดิบมีอิทธิพลในทางจิตศาสตร์คือพกไว้บ้านแล้วไฟไม่ไหม้
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? ก็บอกแล้วว่าทองแท้นั้นไม่แพ้ไฟ ! 55 ส่วนอิทธิคุณที่น่าประหลาดใจเกี่ยวกับเรื่องทองคำต้องยกให้พระนิรันตราย
ครั้งหนึ่งนานมาแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่สี่เรื่องเกิดขึ้นที่บริเวณเแหล่งทองคำศรีมโหสถจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งมีพระมหากรุณาให้คุณพระหนุ่มเจ้าวิชาวิศวกรรมไปตั้งกองทำเหมืองทองคำกันอยู่ ณ ที่นั้น
อยู่มาวันนึงก็ปรากฏเหตุว่าปรากฏเหตุว่ากำนันในพื้นที่ฝันเห็นช้างเผือกมาหา เชื่อว่าเป็นศุภนิมิตรมงคลแต่ยังไม่รู้ว่ามันมงคล ในเรื่องอะไร รุ่งเช้ามากำนันอินกับลูกชายได้ไปขุดหามันซึ่งเรียกกันว่ามันนกเอามาหารับประทานก็ไปสัมผัสเข้ากับโลหะสีวาววามใต้ดินหยิบขึ้นดึงขึ้นมาดูแล้วจึงพบว่าคือพระพุทธรูปทองคำศิลปะทวาราวดี หล่อด้วยทองคำเนื้อหก น้ำหนัก ๔๘ ตําลึง จึงรีบนำความไปบอกปลัด เจ้าเมืองก็รีบนำความขึ้นกับกราบบังคมทูลพระกรุณา พากำนันเข้าเฝ้าขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระแด่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลนั้นทรงคำนึงถึงว่ากำนันสองคนพ่อลูกนี้มีกตัญญูต่อพระพุทธศาสนาและพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อขุดได้พระทองคำเช่นนี้แล้ว มิได้ยุบหลอมไปซื้อขายเอาเงินมาใช้จ่ายเป็นอาณาประโยชน์ส่วนตน และยังซ้ำมีน้ำใจทูลเกล้าฯถวาย จึงทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานรางวัลเงินตรา ๘ ชั่ง เท่าค่าทองแล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานชิญไปเก็บไว้ ณ หอเสถียรธรรมปริตร กับด้วยพระกริ่งทองคำองค์น้อยที่ทรงมีอยู่เดิม
ครั้นต่อมาเมื่อปีวอก พ.ศ. ๒๔๐๓ มีผู้ร้ายบุกเข้าหอเสถียร ลักพระกริ่งองค์น้อย ซึ่งตั้งอยู่กับพระทองคำจากศรีมโหสถองค์นั้นไป จึงทรงพระราชดำริว่า พระพุทธรูปซึ่งกำนันอินกับนายยังบุตรทูลเกล้า ฯ ถวายนั้น ก็เป็นทองคำ ทั้งแท่งใหญ่กว่าพระกริ่ง ควรที่ผู้ร้ายจะลักพระพุทธรูปองค์นั้นไปก็เปล่า กลับเผอิญให้แคล้วคลาดถึงสองครั้ง ครั้งแรกผู้ที่ขุดได้ก็ไม่ทำอันตรายนับเป็นอัศจรรย์อยู่ มาครั้งนี้โจรก็ไม่เอาอีกจึงทรงถวายพระนามพระพุทธรูปองค์นั้นว่า พระนิรันตราย (นิร-ไม่มี/อันตราย) แล้วต่อมาทรงพระราชดำริแบบอย่างให้เจ้าพนักงานหล่อพระพุทธ
รูปนั่งขัดสมาธิเพชรต้องตามพุทธลักษณะ หน้าตัก ๕ นิ้วกึ่ง ด้วยทองคำ “สวม” พระพุทธรูปนิรันตรายองค์นั้นอีกชั้นหนึ่ง พระอาการทรงนั่งอย่างที่เรียกกันว่า นั่งขัดสมาธิเพชร เบื้องหลังมีเรือนแก้วเป็นพุ่มพระมหาโพธิ มีอักษรขอมจำหลักลงในวงกลีบบัว เบื้องหน้า ๙ เบื้องหลัง ๙ พระคุณนามแสดงพระพุทธคุณตั้งแต่ อรห์สมุมา สมพุทฺโธ จนถึง ภควา ยอดเรือนแก้วมีรูปพระมหามงกุฎติดตั้งอยู่กับฐานชั้นล่างรองฐานพระซึ่งเป็นที่สำหรับรับน้ำสรงพระ
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริแบบอย่างสร้างขึ้น โดยที่นั้นมีหัววัว (แสดงถึงยุคของศาสนาพระโคตะมะ) เป็นที่คายน้ำอย่างว่าหัวก็อก คายน้ำสรงองค์พระออกมาเป็นน้ำพระพุทธมนต์
ของโบราณท่านทำจำลองไว้หลายองค์พระราชทานถวายไปยังวัดธรรมยุตต่างๆทั่วประเทศส่วนนักเล่นศิลปะหากว่าจะเช่าหาบูชาพระนิรันดร์ตรายมาไว้กราบไหว้ชื่นชมแล้วเขาจะต้องหารุ่นที่สามารถถอดองค์ข้างนอกออกได้แล้วเหลือองค์ข้างในให้ได้เห็นชื่นชมอีก
โดยองค์ที่ถอดได้นี้มีจำนวนทำไว้ไม่มากเป็นที่นิยมนับถือกันโดยทั่วไปทั้งในทางศิลปะและภูมิปัญญาความคิดสร้างสรรค์ของท่านผู้บัญชาการให้เกิดการสร้าง