KEY
POINTS
*** คอลัมน์ฐานโซไซตี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ “ลึก ตรงประเด็น เห็นโอกาส” ฉบับ 4,159 ระหว่างวันที่ 21-24 ธ.ค. 2568 “ว.เชิงดอย” ประจำการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีสาระ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเช่นเคย
*** หลังประกาศ “ยุบสภา” อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 การเมืองไทยเดินเข้าสู่ “โหมดเลือกตั้ง” ใหม่ ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้งที่กำหนด “เส้นตาย” ไว้อย่างชัดเจน “ไทม์ไลน์เลือกตั้ง 2569” ได้ถูกกำหนดไว้เป็น วันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ. 2569 สำหรับการหย่อนบัตรเลือกตั้ง ส.ส.ใหม่
ภายหลังการปิดหีบเลือกตั้ง และ นับคะแนนการเลือกตั้งในดังกล่าวแล้ว ก็จะได้ทราบผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการในคืนวันเดียวกัน ต่อจากนั้นช่วง ก.พ.-มี.ค. 2569 จะทยอยรับรองผลอย่างเป็นทางการ โดยต้องรับรองให้ได้ไม่น้อยกว่า 95% จึงเปิดประชุมสภาได้
*** ช่วงเวลานี้เป็นจุดเริ่มต้นของการ “ต่อรอง” จัดตั้งรัฐบาล ก่อนจะนำไปสู่การโหวตเลือก “นายกรัฐมนตรี” ซึ่งจะอยู่ในเดือน มี.ค. ที่จะมีการเปิดประชุมรัฐสภาครั้งแรก เปิดทางให้ “สภาผู้แทนราษฎร” ลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยใช้เสียงข้างมากของ ส.ส. เป็นตัวตัดสิน หากพรรคใดรวมเสียงเกินกึ่งหนึ่ง (250) ได้ จะได้เสนอ “แคนดิเดตนายกฯ” และตั้งรัฐบาลทันที ...กระบวนการได้มาซึ่ง นายกฯ และ รัฐบาลใหม่ น่าจะแล้วเสร็จประมาณปลายเดือน เม.ย. หรือ ภายใน พ.ค. 2569 ก่อนที่รัฐบาลใหม่จะสามารถเริ่มปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการได้
*** แต่คำถามใหญ่ที่ดังขึ้นทุกวงสนทนาในขณะนี้ก็คือ ใครจะได้เป็น “นายกรัฐมนตรี คนที่ 33” ของประเทศไทย คำตอบก็คงหนีไม่พ้นไปจาก 3 คน 3 ค่ายพรรคการเมือง อันประกอบด้วย คนที่หนึ่ง “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรคประชาชน ค่ายสีส้ม ณัฐพงษ์ คือภาพแทนของการเมืองรุ่นใหม่ สายเทคโนแครต-นโยบาย โดดเด่นด้านการสื่อสารเชิงเหตุผล มีภาพลักษณ์สะอาด และได้รับแรงสนับสนุนจากฐานเสียงคนเมือง คนรุ่นใหม่ และ กลุ่มที่ต้องการ “เปลี่ยนโครงสร้าง”
*** จุดแข็ง ของ ณัฐพงษ์ คือ พลังความหวัง และการเป็นตัวแทน “อนาคต” แต่จุดอ่อนสำคัญยังคงเป็น สมการอำนาจในสภา และแรงต้านจาก “กลุ่มอนุรักษ์นิยม” รวมถึงความไม่แน่นอนว่า พรรคประชาชนจะรวบรวมเสียงได้ถึงระดับจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ (250 เสียง)
*** คนที่สอง “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ค่ายสีน้ำเงิน ถ้าพูดถึงคำว่า “นักการเมืองมืออาชีพ” นาทีนี้ชื่อของ อนุทิน ลอยมาเป็นอันดับต้นๆ เพราะเครือข่ายแน่น พื้นที่แข็ง พรรคเนื้อหอม อดีต ส.ส. และ “บ้านใหญ่” ไหลเข้าไม่ขาดสาย “อนุทิน-ภูมิใจไทย” ได้เปรียบอย่างยิ่งจากสถานะรัฐบาลรักษาการ การคุมกลไกรัฐ และภาพลักษณ์ผู้นำสายปฏิบัติ ไม่เน้นอุดมการณ์จัด แต่เน้น “บริหารได้จริง” จุดแข็งที่สุดคือ โอกาสเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาล จากฝั่ง "อนุรักษ์นิยม จุดชี้ขาดมีเพียงอย่างเดียว คือ จำนวน ส.ส. หลังเลือกตั้งจะมากพอให้ “คัมแบ็ก”นั่งเก้าอี้ นายกฯ คนที่ 32 สมัย 2 หรือไม่?
*** คนที่สาม คือ “ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์” แคนดิเดตนายกฯ คนที่ 1 จาก พรรคเพื่อไทย ค่ายสีแดง บุตรชายของ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ คนที่ 26 ยศชนัน คือแคนดิเดตที่สะท้อนความพยายามรีแบรนด์เพื่อไทย สู่ภาพผู้นำรุ่นใหม่ แต่ยังคงมี DNA จากตระกูล “ชินวัตร” หนุนหลังได้เปรียบด้านโครงสร้างพรรค ฐานเสียงดั้งเดิม และ ความสามารถเฉพาะตัว ...อย่างไรก็ตาม เพื่อไทยยังต้องเผชิญคำถามเรื่อง แรงต้านทางการเมือง และความไม่แน่นอนจากปัจจัยนอกสนามเลือกตั้ง ซึ่งอาจกระทบสมการจัดตั้งรัฐบาล แม้จะได้ ส.ส.จำนวนมากก็ตาม
*** ทีนี้มาถึงคำตอบว่า ใครมีโอกาสเป็นนายกฯ คนที่ 33 มากที่สุด? หากวัดจากอารมณ์การเมือง ณ วันนี้ ไม่ใช่แค่กระแส แต่รวมถึง “โครงสร้างอำนาจ” คำตอบที่นักการเมืองจำนวนไม่น้อยพูดตรงกันคือ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ไม่ใช่เพราะแรงเชียร์ดังที่สุด แต่เพราะ “นายกฯหนู” อยู่ในตำแหน่งที่พร้อมที่สุดต่อการจัดตั้งรัฐบาล มีพรรค มีคน มีเกม มีทางเลือก ที่สำคัญมีแบ็คอัพดี ขณะที่ “ณัฐพงษ์” อาจชนะใจคนรุ่นใหม่ “ยศชนัน” อาจชนะคะแนนนิยมบางพื้นที่ แต่ “อนุทิน” คือคนที่ “โมเมนตัม” กำลังวิ่งเข้าหามากที่สุด
*** อย่างไรก็ดี การเมืองไทยไม่เคยตัดสินกันก่อนปิดคูหาเลือกตั้ง ทุกสมการยังเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา สิ่งเดียวที่ชัดเจน คือ “นายกฯ คนที่ 33” จะไม่ได้เกิดจากกระแสเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการต่อรองจัดสรรอำนาจหลังเลือกตั้ง โดยเฉพาะ “เก้าอี้รัฐมนตรี” และนี่แหละ คือ เสน่ห์ขมๆ ของการเมืองไทย...
*** ปิดท้ายกันที่ ... บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “ซาบีน่า” ได้รับการประเมินผลหุ้นยั่งยืน SET ESG Rating ประจำปี 2568 จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ด้วยเรทติ้งสูงสุด AAA ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างความยั่งยืนของ SABINA ที่ส่งต่อไปถึงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ถือหุ้น ลูกค้า คู่ค้า พนักงาน สังคมและชุมชน ผ่านการดำเนินธุรกิจที่โดดเด่นด้านความยั่งยืน (ESG) ทั้งในมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และ ธรรมาภิบาล โดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การพัฒนาสินค้าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โครงการเพื่อสังคม รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมด้านความยั่งยืนที่บริษัทฯ ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง