นายพลงักฮุย ต้นแบบแห่งความภักดี และความซื่อตรง (1)

08 มี.ค. 2563 | 02:30 น.
อัปเดตล่าสุด :08 มี.ค. 2563 | 09:58 น.

 

 

เมื่อเร็วๆ นี้ผมได้รับบทความออนไลน์เกี่ยวกับ “หนังสือ 10 เล่มเบื้องหลังความสำเร็จของท่านสี จิ้นผิง” ซึ่งหนึ่งในหนังสือดังกล่าวได้แก่ “The Story of Yue Fei” หรือ “เรื่องราวของเย่ว์เฟย” คนไทยส่วนใหญ่รู้จัก “เย่วเฟย” (ภาษาจีนกลาง) ในนาม “งักฮุย” (ภาษาแต้จิ๋ว)

เมื่อหลายปีก่อน ผมมีโอกาสเดินทางไปสักการะศาลเจ้างักฮุย ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบซีหู ใจกลางนครหังโจว เมืองเอกของมณฑลเจ้อเจียง ด้านซีกตะวันออกของจีน และพบว่าเรื่องราวของงักฮุยที่ได้สดับตรับฟังมานับว่าเต็มไปด้วยสีสันและคติสอนใจที่น่าสนใจยิ่ง

ศาลเจ้างักฮุยนับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีน ในช่วงที่อากาศดี แต่ละวันจะมีผู้คนนับหมื่นเข้าไปสักการะ เพราะถือเป็นศาลเจ้าที่เป็นสัญลักษณ์อันยิ่งใหญ่แห่งความซื่อสัตย์และจงรักภักดีในความรู้สึกของชาวจีน

งักฮุย เกิดที่เหอหนาน บ้างก็ว่าเป็นลูกชาวนา บ้างก็ว่าเป็นลูกเศรษฐี แต่เขาต้องกำพร้าพ่อตั้งแต่ยังเล็กเมื่อเกิดน้ำท่วมใหญ่จากเขื่อนกั้นแม่น้ำเหลืองแตก ในครั้งนั้นพ่อของเขาเอาแม่และเขาใส่โอ่งใบใหญ่ล่องไปตามกระแสน้ำเชี่ยวหนีตาย

แม้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ชีวิตที่พลิกผันก็ทำให้เขาก็ไม่มีโอกาสได้ร่ำเรียนหนังสือในโรงเรียนเฉกเช่นคนอื่น โชคดีที่แม่ของเขาใส่ใจคอยสั่งสอนและดูแลอย่างใกล้ชิด โดยเอาผืนทรายแทนกระดาษ และกิ่งไม้แทนดินสอและปากกา รวมทั้งปลูกฝังจริยธรรมอันดีมากมาย โดยเฉพาะความรักและกตัญญูต่อชาติ

ต่อมา งักฮุยยังได้อาจารย์ดีถ่ายทอดและฝึกสอนวิทยายุทธ์ให้จนเก่งกาจในอาวุธทั้ง 18 ชนิด ท่ามกลางความแตกแยกวุ่นวายของบ้านเมือง งักฮุยจึงตัดสินใจสมัครเป็นทหารรับใช้ชาติ

แต่ก่อนงักฮุยจะไปรับราชการทหารนั้น มารดาของเขาได้สักตัวอักษรจีนไว้ที่แผ่นหลังของเขาว่า “จิ้นจงเป้ากั๋ว” หรือแปลว่า “จงรักภักดีต่อประเทศชาติ” โดยเจตนาเขียนไม่ครบทุกเส้น และบอกว่าเมื่องักฮุยช่วยกอบกู้ชาติให้เป็นปึกแผ่นได้แล้วจะมาเขียนต่อให้

เมื่อเข้ารับราชการทหาร ก็ถูกตาต้องใจแม่ทัพใหญ่ที่ดึงเอางักฮุยมาใช้งานและกลายเป็นขุนพลคู่ใจในเวลาต่อมา ห้วงเวลานี้ทำให้เขาได้ซึมซับกลศึกและวิธีบริหารจัดการไพร่พลในกองทัพ ครั้นเมื่อแม่ทัพคนเดิมเสียชีวิตลง งักฮุย ก็ถูกแต่งตั้งให้รับตำแหน่งแทน และกลายเป็นหัวเรือใหญ่ในการกอบกู้ชาติ

ด้วยความภักดีต่อประเทศชาติ และการปกครองไพร่พลดั่งพี่น้องในครอบครัว นายพลงักฮุยจึงเป็นที่เคารพรักของประชาชนและกองทัพโดยทั่วไป กองทัพของเขาก็เปี่ยมด้วยระเบียบวินัยอันดี ทุกแห่งที่กองทัพของเขาเดินทัพไป ไพร่พลจะปฏิบัติตนโดยมีธรรมาภิบาล ไม่เบียดบังเอารัดเอาเปรียบประชาชน ทุกหนแห่งที่ทหารของเขาก้าวย่างไปจึงได้รับการต้อนรับและไม่เคยต้องอดอยาก เพราะประชาชนล้วนแต่เอาอาหารและน้ำดื่มมามอบให้กองทัพอย่างเต็มใจ

นายพลงักฮุย  ต้นแบบแห่งความภักดี  และความซื่อตรง (1)

ในการศึก แม่ทัพงักฮุยเลือกใช้วิธีการเจรจากับเจ้าเมืองที่จะเข้าตีก่อนการทำสงครามเสมอ จึงทำให้กองทัพของเขาไม่เสียเลือดเนื้อและแข็งแกร่งมาก ตลอดเวลาหลายปีที่ทำสงครามกอบกู้ประเทศ กวีโบราณถึงขนาดเปรียบเปรยว่า “สั่นคลอนภูเขายังง่ายกว่ากองทหารของงักฮุย”

แม้ว่านายพลงักฮุยพยายามนำทัพออกรบแย่งชิงดินแดนจนเกือบจะเป็นปึกแผ่น แต่โชคไม่ดีที่ต้องถึงคราวประสบเคราะห์กรรม ทำให้เขาหมดโอกาสในการกอบกู้ชาติ เหตุการณ์มิได้เกิดขึ้นเพราะกองทัพภายนอก แต่กลับเกิดขึ้นจากภายในราชสำนัก ดั่งวลี “สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อในตน” โดยแท้

ด้วยชื่อเสียงที่ขจรขจายไป นายพลงักฮุยก็ถูกขุนนางฉิงกวุ่ยและภรรยาที่เกรงจะสูญเสียอำนาจและความสำคัญ สมรู้ร่วมคิดกับผู้พิพากษาและเจ้านายขี้อิจฉาของเขาเองเพ็ดทูลใส่ร้ายว่า นายพลงักฮุยกำลังรวบรวมไพร่พลสร้างกองทัพที่ใหญ่และแกร่งกล้า เพื่อหวังกลับมาแย่งชิงบัลลังก์จากฮ่องเต้ในอนาคต ผสมโรงเข้ากับความเปราะบางและไร้วิจารณญาณของฮ่องเต้และราชสำนักในยุคสมัยนั้น

เมื่อถูกเป่าหูมากเข้า ฮ่องเต้ก็ไม่อาจทัดทาน ยอมโอนอ่อนตามความเห็นของขุนนางกังฉินและพรรคพวก ตัดสินใจมีหนังสือเรียกทัพของนายพลงักฮุยกลับเมืองหลวงเพื่อหวังสลายกำลัง

นายพลงักฮุยเห็นว่า ท่ามกลางสนามรบที่กองทัพหลวงกำลังเป็นต่อ การเดินทัพต่ออีกไม่นานก็จะสามารถรวบรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นถวายแด่ฮ่องเต้ได้ตามพระราชหฤทัยที่ตั้งไว้ โดยส่งม้าเร็วนำข้อมูลที่เป็นปัจจุบันไปกราบทูลฮ่องเต้ในทุกครั้งที่ฮ่องเต้ทรงมีหนังสือเรียกทัพกลับ

แต่ความพยายามดังกล่าวก็ยิ่งเข้าทางของขุนนางกังฉินและพวก โดยใส่ความเพิ่มเติมว่า การไม่ยกทัพกลับของนายพลงักฮุยเป็นสิ่งยืนยันที่แสดงถึงการกระด้างกระเดื่อง และขัดต่อพระราชอำนาจ รวมทั้งยังพยายามเตะถ่วงเวลาเพื่อหวังรวบรวมไพร่พลเสริมสร้างกองทัพให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น หากยิ่งปล่อยให้เวลาเนิ่นนานต่อไป ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อราชบัลลังก์

 

เกี่ยวกับผู้เขียน : ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน

ผู้เชี่ยวชาญที่สั่งสมความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับตลาดจีน มุ่งหวังนำข้อมูลและมุมมอง ความคิดเห็นเกี่ยวกับความเคลื่อนไหว ทางเศรษฐกิจ ธุรกิจ การตลาดและอื่น ๆ  ที่อยู่ในกระแสของจีนมาแลกเปลี่ยนกับผู้อ่าน เพื่อเราจะไม่ตกขบวน “รถไฟความเร็วสูง” ของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจีน


คอลัมน์มังกรกระพือปีก  โดย... ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน

เกี่ยวกับผู้เขียน: ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน ผู้เชี่ยวชาญที่สั่งสมความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับตลาดจีน มุ่งหวังนำข้อมูลและมุมมองความคิดเห็นเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ ธุรกิจ การตลาดและอื่น ๆ ที่อยู่ในกระแสของจีนมาแลกเปลี่ยนกับผู้อ่าน เพื่อเราจะไม่ตกขบวน “รถไฟความเร็วสูง” ของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจีน

 

หน้า 4 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3555 วันที่ 8-11 มีนาคม 2563