วิกฤตโควิดโอกาสรุกธุรกิจ‘โฮสเทล’ในไทย"คอลเล็คทีฟ ฮอสพิทาลิตี้"
วิกฤติโควิด-19 ทำไมคอลเล็คทีฟ ฮอสพิทาลิตี้ (CH) เห็นโอกาสอะไรในธุรกิจโฮสเทลส์ในไทย-ภูมิภาคนี้ จึงเดินหน้าซื้อกิจการโบเดก้า โฮสเทล เข้ามาอยู่ในเครือข่ายของสลัมเบอร์ ปาร์ตี้ โฮสเทลส์(SHG)
ท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 ทำไมคอลเล็คทีฟ ฮอสพิทาลิตี้ (CH) จึงเดินหน้าซื้อกิจการโบเดก้า โฮสเทล เข้ามาอยู่ในเครือข่ายของสลัมเบอร์ ปาร์ตี้ โฮสเทลส์(SHG) เขาเห็นโอกาสในธุรกิจโฮสเทลส์ในไทยและในภูมิภาคนี้ รวมถึงการขยายธุรกิจภายใต้แบรนด์ต่างๆที่เกิดขึ้น
นายเอ็ดมันส์ โลว์แมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร คอลเล็คทีฟ ฮอสพิทาลิตี้ (CH)เจ้าของแบรนด์สลัมเบอร์ ปาร์ตี้ โฮสเทลส์ (SHG)เปิดใจกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า คอลเล็คทีฟ ฮอสพิทาลิตี้ ดำเนินธุรกิจโฮสเทลและโรงแรม แบรนด์ของเรา ได้แก่ สลัมเบอร์ ปาร์ตี้ โฮสเทลส์, โซเชียลเทล, โบเดก้า โฮส เทลส์ และพาธ โฮเทล เรามองว่าบริษัทเราแตกต่างจากธุรกิจโรงแรมแบบดั้งเดิม
โดยเราเป็นบริษัทที่สร้างประสบการณ์น่าจดจำที่ให้บริการห้องพักที่มีคุณภาพด้วย ซึ่งหมายความว่าเราใช้เวลาและความตั้งใจอย่างมากในการสร้างประสบการณ์เหล่านี้ให้ตอบโจทย์กับลูกค้าของเราไม่ว่าจะเป็นทางอาหารและเครื่องดื่ม กิจกรรมการผจญภัย และความสนุกสนาน อย่างแบรนด์ “โซเชียลเทล” เป็นโรงแรมกึ่งโฮสเทลแห่งใหม่สำหรับคนยุคโซเชียลที่ชอบเดินทางเป็นกลุ่ม ชอบความทันสมัย ชอบการพบปะพูดคุย การทำงานร่วมกัน และการใช้พื้นที่สาธารณะร่วมกัน ในพื้นที่โรงแรมจะรองรับทุกเทคโนโลยีทันสมัย เปิดตัวครั้งแรกในเดือนก.ค.-ส.ค.นี้
จ่อซื้อกิจการอีก 2 ธุรกิจ
ขณะที่ธุรกิจโฮสเทลเน้นจับกลุ่มนักเดินทางรุ่นใหม่อายุ18-35 ปี ซึ่งอุตสาหกรรมโฮสเทลเป็นธุรกิจที่กระจัดกระจายอย่างไม่น่าเชื่อ มีโฮสเทลกว่า 17,000 แห่งทั่วโลกและเครือที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีโฮสเทล ในการดูแลเพียง 50 แห่งเท่านั้น ซึ่งเรามาเป็นอันดับ 4 ที่ใหญ่ที่สุดด้วยจำนวน 25 แห่ง รวม 2,500 เตียง และภายในสิ้นปี 2564 จะใหญ่ที่สุดโดยมี 50 กว่าแห่งทั่วโลก
การตัดสินใจเข้าซื้อกิจการ “โบเดก้า โฮสเทล” ด้วยมูลค่าการลงทุนราว 450 ล้านบาทมารวมอยู่กับแบรนด์ “สลัมเบอร์ ปาร์ตี้ โฮสเทลส์” เราเห็นการแพร่ระบาดของโรคนี้เป็นโอกาสในการเริ่มต้นการรวมธุรกิจโฮสเทล และพัฒนาแบรนด์ระดับโลก ดังเช่นสิ่งที่แอคคอร์หรือแมริออททำ แต่เรามุ่งเน้นไปที่ผู้พักกลุ่มวัยรุ่นและการสร้างประสบการณ์ในการเดินทางของพวกเขา
การเข้าควบรวมครั้งนี้ทำให้กลุ่มบริษัทฯ มีจำนวนเตียงเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวกว่า 2,500 ยูนิต ทั้งไทย อินโดนิเซีย กัมพูชา ทำให้สลัมเบอร์กลายเป็นผู้ประกอบการโฮสเทลที่มีขนาดธุรกิจใหญ่ที่สุดในอาเซียน และเป็นลำดับที่ 4 ของโลก
นอกจากนี้เรากำลังเข้าซื้อกิจการอีก 2 ธุรกิจ และจะประกาศใน 90 วันถัดไปเมื่อการซื้อสำเร็จลุล่วง เราตั้งใจที่จะรวบรวมและเข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้แผนของเราที่จะเข้าไปบริหารดูแลให้ครบ 50 แห่งภายในวันที่ 1 มกราคม 2565 กำลังเป็นไปตามที่คาดไว้
ท่องเที่ยวไทยยืดหยุ่น-ฟื้นเร็ว
โอกาสทางธุรกิจของไทย ผมคิดว่าไทยเป็นตลาดการท่องเที่ยวที่มีความยืดหยุ่นมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตลอดเวลา 12 ปีที่ผมอาศัยอยู่ที่นี่ เราต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมากมาย ทั้งในระดับชุมชนและระดับประเทศ แต่ไทยก็เข้มแข็งและฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเสมอ
สำหรับผู้ที่มีแนวความคิดกล้าลงทุนเช่นเดียวกับเรา ก็ต้องยอมรับเกี่ยวกับประเทศไทยและอาเซียนโดยรวม ว่ามีโอกาสทางธุรกิจมากมายในตอนนี้ ในการเข้าซื้อทรัพย์สินที่ติดปัญหาและปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ เพื่อเพิ่มรายได้จากการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ เหล่านี้
อีกข้อสำหรับไทยคือผมเชื่อว่าจะเห็นลูกค้าส่วนมากจากตลาดในเอเชีย เช่น จีน สิงคโปร์ เกาหลี และญี่ปุ่น ในช่วง 2 ปีข้างหน้า เนื่องจากสถานการณ์ธุรกิจต่างๆ เริ่มฟื้นตัวและเปิดอีกครั้ง ในอดีตสลัมเบอร์ ปาร์ตี้ และโบเดก้า มีลูกค้าหลักคือ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เยอรมนี แคนาดา ออสเตรเลีย และสวีเดน อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าตลาดลูกค้าเราจะขยายวงกว้างขึ้นด้วยแบรนด์ โซเชียลเทล และพาธ
ทั้งนี้โบเดก้า และสลัมเบอร์ ปาร์ตี้ มีฐานลูกค้าที่มั่นคงในไทยอยู่แล้ว โดยสลัมเบอร์ ปาร์ตี้ ในไทย เรามีโฮสเทล อยู่ที่สุขุมวิท ซอย 1 กรุงเทพ, ถนนข้าวสาร กรุงเทพ,เกาะพีพี กระบี่, เกาะพะงัน สุราษฎร์ธานี, ป่าตอง ภูเก็ต,อ่าวนาง กระบี่, กระบี่ จากจุดเริ่มต้นจากธุรกิจโฮสเทล 1 แห่งในปี2555 ด้วยจำนวน35 เตียงในกระบี่
ส่วนโฮสเทลของโบเดก้า ก็มีอยู่ที่ สุขุมวิท ซอย 23 กรุงเทพ, ถนนข้าวสาร กรุงเทพ, เกาะพะงัน สุราษฎร์ธานี, เชียงใหม่, ปาย แม่ฮ่องสอน, ป่าตอง ภูเก็ต, อ่าวนาง กระบี่ ดังนั้นเราคาดว่าจะขยายธุรกิจในไทยอีกราว 2-3 สาขาในเมืองที่เรามีโฮสเทล อยู่แล้ว
ขณะเดียวกันเรากำลังสร้างแบรนด์ โซเชียลเทล และ พาธ ในไทย ซึ่งในขณะนี้เรากำลังพัฒนาและขยายธุรกิจในกรุงเทพฯ เกาะสมุย ภูเก็ต และกาญจนบุรี
ผมเชื่อว่าเราจะเห็นการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเมื่อมีการเปิดประเทศ ทั่วโลกมีความต้องการเดินทางท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากและไทยเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วโลกมาโดยตลอด ขึ้นอยู่กับความสามารถของรัฐบาลที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหาตามกำหนดเวลา ซึ่งผมคิดว่าในเดือนมกราคม 2565 ที่จะถึงนี้จะเป็นเดือนที่ยิ่งใหญ่สำหรับทุกคน นอกจากนี้ผมไม่คิดว่าเราจะเห็นช่วงโลว์ซีซั่นแบบที่เราเคยเห็นในอดีต เนื่องจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกที่พากันเปิดประเทศจะทำให้นักท่องเที่ยวพากันหลั่งไหลออกมาเที่ยวกันตลอดทั้งปี
อีกทั้งเราจำเป็นต้องมีนโยบายฉีดวัคซีนอย่างจริงจังเพื่อเปิดพรมแดนให้เร็วที่สุด อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวนั้นเข้าขั้นวิกฤติในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา แต่ข่าวดีก็คือผมเชื่อว่ายังไงก็จะมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
หน้า 21-22 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,676 วันที่ 6 - 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2564
ข่าวเกี่ยวข้อง: