นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)กล่าวว่า ปี 2563 แม้จะเกิดวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ผลการดำเนินงานของบริษัทถือว่า เป็นที่น่าพอใจ โดยสามารถทำกำไรได้ถึง 484 ล้านบาท หรือเติบโตมากถึง 90.17% ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่มาจาก รายได้ค่านายหน้า ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่เริ่มต้นปี 2564 ธุรกิจหลักทรัพย์ก็ถือว่า เปิดมาได้อย่างสดใส วอลุ่มเฉลี่ยสูงถึง 99,000 ล้านบาทต่อวัน สร้างความคึกคักให้กับตลาดเงินตลาดทุนได้ตั้งแต่ต้นปีอย่างมีนัยสำคัญ โดยบริษัทตั้งเป้าปี 2564 เติบโตไม่ต่ำกว่า 10%
สำหรับปี 2564 เมย์แบงก์ กิมเอ็ง มีความพร้อมเต็มที่ วางตัวเองให้สมาร์ทพร้อมก้าวสู่การเป็นสถาบันการเงินครบวงจร ครบเครื่องด้วยผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลาย สามารถตอบโจทย์นักลงทุนได้เป็นอย่างดี พร้อมสร้างทีมและเร่งพัฒนาบุคลากรในสายงานต่างๆ ให้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น บริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (Equity), บริการตัวแทนซื้อขายตราสารอนุพันธ์ (Derivatives), บริการด้านการซื้อขายหน่วยลงทุนของบริษัทจัดการกองทุนรวมชั้นนำ (Mutual Fund Selling Agent), บริการลงทุนในต่างประเทศ (Offshore Trading), บริการด้านวาณิชธนกิจ (Investment Banking)
ขณะเดียวกัน บริษัทฯตระหนักและให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจด้วยความยั่งยืน หรือ ESG ครอบคลุมสิ่งแวดล้อม (Environment), สังคม (Social) และ ธรรมาภิบาล (Governance) เพราะเชื่อว่า แนวทาง ESG จะนำมาซึ่งความยั่งยืนสำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในระยะยาว ในด้านสิ่งแวดล้อม ทีมงานวิจัยของบริษัทได้จัดทำทำเนียบหุ้นกิจการที่มีการดำเนินธุรกิจที่มีระดับ ESG สูง (ESG Stock List) เพื่อให้ข้อมูลสนับสนุนแก่นักลงทุนที่สนใจหลักทรัพย์ โดยคำนึงถึงหลัก ESG ดังกล่าว
“เรายังเข้าร่วมโครงการ Care The Bear ซึ่งเป็นโครงการด้าน ESG ที่จัดขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เพื่อเชิญชวนบริษัทจดทะเบียน(บจ.)เข้ามามีส่วนร่วมเรื่อง การลดโลกร้อน (Climate Change) โดยใช้โปรแกรมคำนวนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Footprint) ด้านสังคม เราได้รณรงค์การลดละเลิกใช้พลาสติก จัดการเรื่องขยะรีไซเคิล และลดปริมาณการใช้กระดาษในองค์กร (Paperless Organization) และกำลังวางแผนพัฒนาการเรียนการสอนหลักสูตรความรู้ด้านการเงินการลงทุนเบื้องต้นสำหรับนิสิตนักศึกษา เพื่อช่วยพัฒนาสังคมให้ยั่งยืน”นายมนตรีกล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: