ทำความรู้จัก “ตะไคร้” หลังจ่อถูกขึ้นทะเบียนเป็นวัตถุอันตราย

13 ก.ค. 2563 | 06:27 น.

หลัง รมช.มนัญญา จ่อขึ้นทะเบียน 13 สมุนไพร เป็นวัตถุอันตราย

กำลังจะเป็นเรื่องดุเดือด เมื่อ วันที่ 13 กรกฎาคมนี้ เวลา 10.00 น.  นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมการกำหนดพืชสมุนไพร 13 ชนิด บรรจุเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 มีการณ์คาดการณ์ว่าพืชสมุนไพร 13 ชนิด ได้แก่ สะเดา, ตระไคร้หอม, ขมิ้นชัน, ชิงข่า, ดาวเรือง, สาบเสือ, กากเมล็ดชา,พริก, คื่นช่าย, ชุมเห็ดเทศ,ดองดึง และ หนอนตายหยาก

1 ใน 13 สมุนไพรมีชื่อของ “ตะไคร้” รวมอยู่ด้วยมาทำความรู้จัก คุณสมบัติ ประโยชน์ของ “ตะไคร้” ได้ที่นี่

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ค้านประกาศสมุนไพร 13 ชนิด "สะเดา-ขมิ้นชัน-พริก" เป็นวัตถุอันตราย

ปล่อยผี 13 สมุนไพร เปิดทางนำเข้า จับตารง.ใหม่แห่แจ้งเกิด

แฉ “พูดไม่หมด” ปม 13 พืชสมุนไพร

เล็งถอน 13 พืชสมุนไพร ออกจากวัตถุอันตราย

ตะไคร้  ชื่อสามัญ คือ emongrass

ส่วนชื่อวิทยาศาสตร์  Cymbopogon citratus

ชื่อท้องถิ่น: จะไคร (ภาคเหนือ), หัวซิงไค (ภาคอีสาน), ไคร (ภาคใต้), คาหอม (แม่ฮ่องสอน), เชิดเกรย, เหลอะเกรย (กัมพูชา,สุรินทร์), ห่อวอตะโป่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)

ตะไคร้ จัดเป็นพืชล้มลุก ในวงศ์หญ้า (Poaceae) ความสูงประมาณ 4-6 ฟุต ใบยาวเรียว ปลายใบมีขนหนาม ลำต้นรวมกันเป็นกอ มีกลิ่นหอม เป็นช่อยาวมีดอกเล็กฝอยเป็นจำนวนมาก ตะไคร้เป็นพืชที่สามารถนำส่วนต้นหัวไปประกอบอาหาร และจัดเป็นพืชสมุนไพรด้วย

สำหรับประโยชน์ ของ ตะไคร้ : ใช้ส่วนของเหง้าและลำต้นแก่ ใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารที่สำคัญหลายชนิดเช่น ต้มยำ และอาหารไทยหลายชนิด ให้กลิ่นหอม มีสรรพคุณทางยาเช่น บำรุงธาตุ แก้โรคทางเดินปัสสาวะ ขับลมในลำไส้ทำให้เจริญอาหาร แก้โรคหืด แก้อหิวาตกโรค บำรุงสมอง ช่วยให้สมาธิดี ต้มกับน้ำใช้ดื่มแก้อาเจียน ใช้ต้นสดโขลกคั้นเอาน้ำดื่มแก้อาการเมาในกรณีผู้ที่เมามาก ๆ ช่วยให้สร่างเร็ว ส่วนหัวสามารถใช้แก้โรคเกลื้อน ท้องอืดท้องเฟ้อ โรคนิ่ว มากไปกว่านั้นยังสามารถทำเป็นยาช่วยนอนหลับ ช่วยลดความดันสูง น้ำมันตะไคร้หอมใช้ทากันยุงได้ ถ้าปลูกใกล้ผักอื่น ๆ จะช่วยกันแมลงได้และยังให้กลิ่นหอม ที่ดับกลิ่นบางชนิดใช้ตะไคร้เป็นส่วนผสมเพราะมีกลิ่นที่หอม และที่กำจัดยุงบางชนิดก็ใช้ตะไคร้เป็นส่วนผสมด้วยเนื่องจากมีกลิ่นที่แรงจึงช่วยทำให้ไล่ยุงได้ นอกจากนี้ตะไคร้ยังแก้กลิ่นคาวหรือดับกลิ่นคาวของปลา และเนื้อสัตว์ได้ดีมาก

สรรพคุณ : ทั้งต้น ใช้เป็นยารักษาโรคหืด แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะและแก้อหิวาตกโรค หรือทำเป็นยาทานวดก็ได้ และยังใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่นรักษาโรคได้ เช่น บำรุงธาตุ เจริญอาหาร และขับเหงื่อ และมีกลิ่นฉุนสามารถไล่แมลงได้

หัว: เป็นยารักษาเกลื้อน แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ปัสสาวะพิการ แก้นิ่ว บำรุงไฟธาตุ แก้อาการขัดเบา ถ้าใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่น จะเป็นยาแก้อาเจียน แก้ทราง ยานอนหลับลดความดันสูง แก้ลมอัมพาต แก้กษัยเส้น และแก้ลมใบ ใบสด ๆ จะช่วยลดความดันโลหิตสูง แก้ไข้

ราก:  ใช้เป็นยาแก้ไข้เหนือ ปวดท้องและท้องเสีย

ต้น: ใช้เป็นยาแก้ขับลม แก้เบื่ออาหาร แก้ผมแตก แก้โรคทางเดินปัสสาวะ ,นิ่วเป็นยาบำรุงไฟธาตุให้เจริญ แต่ถ้าเอาผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น จะแก้โรคหนองในและนอกจากนี้ยังใช้ดับกลิ่นคาวได้ด้วย

ลักษณะโดยทั่วไปแบ่ง ตะไคร้ ออกเป็น 6 ชนิด ได้แก่

  1. ตะไคร้กอ
  2. ตะไคร้ต้น
  3. ตะไคร้หางนาค
  4. ตะไคร้น้ำ
  5. ตะไคร้หางสิงห์
  6. ตะไคร้หอม

เป็นพืชตระกูลหญ้า ตะไคร้ เป็นพืชที่เจริญเติบโตง่าย อาจมีทรงพุ่มสูงถึง 1 เมตร มีลำต้นที่แท้จริงประมาณ 4-7 เซนติเมตร ลำของต้นจะถูกห่อหุ้มไปด้วยกาบใบโดยรอบ ใบยาวแคบเส้นใบขนานกับก้านใบ ใบของตะไคร้อุดมไปด้วยน้ำมันหอมระเหย ที่นิยมนำมาปลูกเป็นพันธุ์พื้นเมืองที่ปลูกกันโดยทั่วไป

ส่วนคุณค่าทางโภชนาการ มีดังนี้

ตะไคร้ ( 100 กรัม) มีคุณค่าทางโภชนาการ ดังนี้

  • ให้พลังงาน 143 กิโลแคลอรี่
  • มีโปรตีน 1.2 กรัม
  • มีไขมัน 2.1 กรัม
  • มีคาร์โบไฮเดรต 29.7 กรัม
  • มีเส้นใย 4.2 กรัม
  • มีแคลเซียม 35 มิลลิกรัม
  • มีฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม
  • มีเหล็ก 2.6 มิลลิกรัม
  • มีวิตามินเอ 43 ไมโครกรัม
  • มีไทอามีน 0.05 มิลลิกรัม
  • มีไรโบฟลาวิน 0.02 มิลลิกรัม
  • มีไนอาซิน 2.2 มิลลิกรัม
  • มีวิตามินซี 1 มิลลิกรัม
  • มีเถ้า 1.4 กรัม

สารสำคัญพบที่ส่วนของลำต้นและใบซึ่งมีน้ำมันหอมระเหย (Volatile oil) ที่ประกอบด้วยสารจำนวนหลายชนิด ได้แก่

  • ซิทราล (Citral) พบมากที่สุด 75-90%
  • ทรานซ์ ไอโซซิทราล (Trans-isocitral)
  • ไลโมเนน (Limonene)
  • ยูจีนอล (Eugenol)
  • ลินาลูล (Linalool)
  • เจอรานิออล (Geraniol)
  • คาริโอฟิวลีน ออกไซด์ (Caryophyllene oxide)
  • เจอรานิล อะซิเตท (Geranyl acetate)
  • 6-เมทิล 5-เฮพเทน-2-วัน (6-Methyl 5-hepten-2-one)
  • 4-โนนาโนน (4-Nonanone)
  • เมทิลเฮพทีโนน (Methyl heptennone)
  • ซิโทรเนลลอล (Citronellol)
  • ไมร์ซีน (Myrcene)
  • การบูร (Camphor)

การปลูกและขยายพันธ์

ปลูกได้การปักชำต้นเหง้า โดยตัดใบออกให้เหลือตอนโคนประมาณหนึ่งคืบ นำมาปักชำไว้สักหนึ่งสัปดาห์ก็จะมีรากงอกออกมา แล้วนำไปลงแปลงดินที่เตรียมไว้ หรืออาจใช้วิธีเอาโคนปักลงไปที่ดินซึ่งเตรียมไว้เลย ให้ห่างประมาณหนึ่งศอก ถ้าปลูกในกระถางใช้วิธีปักโคนลงในกระถาง ๆ ละ 2-3 ต้นก็ได้ แล้วหมั่นรดน้ำให้ชุ่มเช้าเย็น ตั้งไว้ให้โดนแดดตลอดวันจะทำให้โตได้เร็ว ตะไคร้ชอบดินร่วนซุย เป็นพืชที่ชอบน้ำ ชอบแดด ดูแลรดน้ำเสมอและโดนแดดได้ตลอดวัน เจริญได้ในดินแทบทุกชนิด เวลาจะใช้ก็ให้ตัดที่โคนสุดส่วนรากเลย แล้วถอนออกมาทั้งต้นตามต้องการ ต้องคอยตรวจดูเมื่อตะไคร้มีกอเจริญเติบโตได้เต็มที่แล้ว ต้องถอนทิ้งหรือแยกออกไปปลูกใหม่บ้างหรือเอาไปใช้บ้าง จะนำมาหั่นเป็นฝอย ๆ ตากลมไว้ให้แห้งสนิทแล้วแพ็คเก็บไว้ใช้ได้นาน ๆ เพื่อให้ต้นอ่อนโตขึ้นมาใหม่ ถ้าไม่แยกออกไปต้นจะเล็กและลีบลงเรื่อย ๆ และบางที่ก็แคระแกร็น ต้นและกอก็จะโทรม ต้องล้างและปลูกใหม่ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นการแตกหน่อทำให้การปลูกและการขยายพันธ์ได้ง่าย

ตะไคร้มีถิ่นกำเนิด ในประเทศอินโดนีเซีย,ศรีลังกา,พม่า,อินเดีย,ไทย,ในทวีปอเมริกาใต้ และ คองโก

วันนี้ 15 ก.ค.นายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.ประชาธิปัตย์ เข้ายื่นจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีผ่าน นายสมพาศ นิลพันธ์ ที่ปรึกษาสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ไม่เห็นด้วยกับประกาศให้ให้พืชสมุนไพรทั้ง 13 ชนิด ซึ่งมีรายชื่อ ตะไคร้ รวมอยู่ด้วย และ ขึ้นทะเบียนตะไคร้เป็นวัตถุอันตราย ไม่ว่าเป็นประเภทที่ 1 หรือ 2 ก็ตาม เพราะพืชสมุนไพรไม่ใช่วัตถุ และเป็นสมุนไพรพื้นบ้านมาแต่โบราณกาลใช้ในการประกอบอาหารนานาชนิด และมีผลในการรักษาโรคแผนโบราณ

ล่าสุดแหล่งข่าวจากกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ไม่ได้ให้ สมุนไพรทั้ง 13 ชนิด รวมทั้ง "ตะไคร้หอม" จัดอยู่ในประเภทวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 มีแต่สารชีวภัณฑ์ที่สกัดมาทำเชิงการค้า มาผสมสารตัวอื่นๆ ที่ต้องอยู่ประเภท 2 เพราะต้องควบคุมว่า ที่สกัดออกมา และเอามาผสมสารตัวอื่น มันปลอดภัยไหม ใช้ได้ไหม ในข่าวก็มีให้เห็นว่า สารชีวภัณฑ์ยัง ใส่พาราควอต ไกลโฟเซต เลยนี่แหละถึงต้องควบคุม ไม่งั้นเกษตรกรโดนหลอกแล้วนี้ยังมาหลอก เรื่องสมุนไพรอีก เพราะ ต้องการให้สารชีวภัณฑ์ ไปอยู่ประเภท1 ไม่ต้องขึ้นทะเบียน เรียกว่า "โดนหลอก" ทั้งประเทศ

ที่มา:วิกิพีเดีย