สัญญาณเตือนไทยเสี่ยงซ้ำรอยญี่ปุ่น ‘กับดักเงินฝืด’หรือไม่?

10 ต.ค. 2568 | 23:30 น.

สัญญาณเตือนไทยเสี่ยงซ้ำรอยญี่ปุ่น ‘กับดักเงินฝืด’หรือไม่? : บทบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,139

KEY

POINTS

  • ภาวะเงินเฟ้อไทยติดลบต่อเนื่อง มีสาเหตุหลักจากมาตรการภาครัฐและราคาพลังงานที่ลดลง ซึ่งต่างจากญี่ปุ่นในอดีตที่เกิดจากอุปสงค์ซบเซา
  • ความเสี่ยงที่แท้จริง คือ หากภาวะเงินเฟ้อต่ำเป็นเวลานาน อาจทำให้คนชะลอการบริโภคและการลงทุน ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะเงินฝืดได้ในที่สุด
  • แม้สาเหตุจะต่างกัน แต่ไทยยังคงเสี่ยงซ้ำรอยญี่ปุ่น หากไม่มีการกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศที่เพียงพอ ผ่านการลงทุนภาครัฐเพื่อสร้างความเชื่อมั่น

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เมื่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบต่อเนื่องถึง 6 เดือน ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้ จุดประเด็นคำถามสำคัญว่า เรากำลังเดินเข้าสู่ภาวะเงินฝืด (Deflation) หรือไม่ และหลายฝ่ายกัลวลว่า สถานการณ์ไทยจะคล้ายกับญี่ปุ่น เคยประสบปัญหาและใช้เวลานานกว่าจะหลุดพ้นจากภาวะเงินฝืด 

อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline Inflation) ของไทยที่ติดลบนั้น ส่วนใหญ่มีสาเหตุหลักมาจาก ปัจจัยด้านอุปทาน และมาตรการของภาครัฐ ไม่ใช่การทรุดตัวของอุปสงค์ในวงกว้างอย่างแท้จริง แต่มาจากการลดลงของราคาพลังงาน (ราคานํ้ามันเชื้อเพลิงและค่าไฟฟ้า)และราคาอาหารสด ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการอุดหนุนราคาของรัฐบาล 

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) ซึ่งตัดราคาอาหารสดและพลังงานออกไป ยังคงเป็นบวกในระดับตํ่า ประมาณ 0.6-0.7% นี่เป็นสัญญาณว่า อุปสงค์ในประเทศไม่ได้ทรุดตัวลงจนนำไปสู่ภาวะเงินฝืดเต็มรูปแบบในตอนนี้ 

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่แท้จริงอยู่ที่การที่เงินเฟ้อตํ่าอยู่เป็นเวลานาน อาจทำให้ภาคธุรกิจและประชาชน คาดการณ์ว่า ราคาสินค้าจะลดลงในอนาคต ซึ่งจะนำไปสู่การชะลอการบริโภคและการลงทุน และหากอุปสงค์ในประเทศอ่อนแอลงจริง ๆ ในที่สุด เราก็จะเสี่ยงเข้าสู่วงจรเงินฝืดแบบญี่ปุ่นได้ 

กรณีของญี่ปุ่นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ญี่ปุ่นเผชิญกับภาวะเงินฝืดเรื้อรังตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1990 เกิดจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซายาวนาน ทำให้อุปสงค์ในประเทศไม่ฟื้นตัว ท่ามกลางหนี้สินสะสมในระบบสูง และโครงสร้างประชากรสูงวัย 

แต่ญี่ปุ่นกำลัง “หลุดพ้น” จากภาวะเงินฝืดแล้ว หลังจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่เหนือเป้าหมาย 2% มานานกว่า 2 ปี และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นสัญญาณว่า เศรษฐกิจกำลังกลับสู่ภาวะปกติ

ข้อแตกต่างสำคัญคือ ภาวะเงินเฟ้อติดลบของไทย เกิดจากราคาต้นทุนที่ลดลงเป็นหลัก ขณะที่ภาวะเงินฝืดของญี่ปุ่นในอดีตเกิดจาก การทรุดตัวของอุปสงค์ แต่หากไทยปล่อยให้ภาวะราคาตํ่าดำเนินต่อไป โดยไม่มีแรงกระตุ้นอุปสงค์ที่เพียงพอ ก็อาจเปลี่ยนจากปัญหาด้านราคา ไปเป็นปัญหาด้านอุปสงค์ได้ในที่สุด

ดังนั้น รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ควรนิ่งนอนใจต่อสัญญาณเตือนนี้ การรับมือต้องใช้ทั้งการกระตุ้นระยะสั้น และการปฏิรูปโครงสร้างในระยะยาว รัฐบาลต้องเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่ออัดฉีดเม็ดเงินและสร้างความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจอย่างตรงจุด

หากไทยสามารถจัดการกับความเสี่ยงจากอุปสงค์ที่อ่อนแอได้และเปลี่ยนจากการพึ่งพามาตรการลดราคา ไปเป็นการสร้างมูลค่าและเพิ่มรายได้ เราก็จะสามารถหลีกเลี่ยงกับดักเงินฝืดและก้าวสู่การเติบโตที่แข็งแกร่งได้อย่างยั่งยืน

บทบรรณาธิการ หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,139 วันที่ 12 -15 ตุลาคม พ.ศ. 2568