รัฐ-เอกชนพร้อมแก้ปัญหาโครงสร้างราคายาจริงหรือ?

08 ต.ค. 2568 | 07:36 น.
อัปเดตล่าสุด :08 ต.ค. 2568 | 07:43 น.

รัฐ-เอกชนพร้อมแก้ปัญหาโครงสร้างราคายาจริงหรือ? : บทบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4138

KEY

POINTS

  • ปัญหาค่ารักษาพยาบาลที่สูงมีสาเหตุหลักมาจาก "ค่าธรรมเนียมแพทย์" ซึ่งมีสัดส่วนสูงกว่า "ค่ายา" ที่เป็นเพียงส่วนน้อยของค่าใช้จ่ายทั้งหมด
  • โรงพยาบาลเอกชนชี้แจงว่า ราคายาที่สูงเป็นผลมาจากโครงสร้างต้นทุนที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ และอำนาจต่อรองในการซื้อยาที่น้อยกว่าโรงพยาบาลรัฐ
  • แนวทางแก้ไขปัญหาที่เสนอ คือ การควบคุมราคายาจากบริษัทผู้ผลิต, บังคับใช้สิทธิให้ผู้ป่วยนำใบสั่งยาไปซื้อยาภายนอก และทบทวนโครงสร้างค่าธรรมเนียมแพทย์ให้เหมาะสม

ราคายาในโรงพยาบาลเอกชน กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงซํ้าแล้วซํ้าเล่า เมื่อกระทรวงพาณิชย์ประกาศเดินหน้าเปิดเผยราคายาอย่างโปร่งใส และให้ผู้ป่วยมีสิทธิ์เลือกซื้อยาภายนอกโรงพยาบาลได้

มาตรการนี้สร้างความหวังว่า จะช่วยลดภาระค่าครองชีพประชาชนได้กว่า 3 หมื่นล้านบาทต่อปี แต่ในความจริง “ค่ายา” อาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของปมซับซ้อนของระบบสุขภาพไทยที่ซ่อนอยู่

 

งานวิจัยของสภาองค์กรของผู้บริโภคชี้ว่า ต้นเหตุของค่ารักษาพยาบาลที่สูงไม่ใช่ “ค่ายา” แต่เป็น “ค่าธรรมเนียมแพทย์” ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 45% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด ขณะที่ค่ายามีเพียง 5% เท่านั้น การปรับอัตราค่าธรรมเนียมแพทย์ตามคู่มือแพทยสภา ปี 2563 ทำให้ค่ารักษาพยาบาลพุ่งขึ้นกว่า 30% ในเวลาไม่กี่ปี หากกระทรวงพาณิชย์มุ่งควบคุมเฉพาะราคายา ย่อมไม่สามารถลดภาระผู้ป่วยได้อย่างแท้จริง

ส่วนมุมของโรงพยาบาลเอกชนเอง ก็ชี้แจงว่า ค่ายาแพงเป็นผลจาก “โครงสร้างต้นทุนที่ไม่เท่ากัน” โรงพยาบาลรัฐได้รับงบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐ แต่เอกชนต้องลงทุนทุกอย่างเอง ตั้งแต่ที่ดิน อาคาร เครื่องมือแพทย์ ไปจนถึงค่าจ้างบุคลากรเฉพาะทาง บริษัทผู้ผลิตยายังขายยาให้รัฐในราคาถูกกว่าเอกชน เฉลี่ยถึง 50% เพราะภาครัฐมีอำนาจต่อรองจากการสั่งซื้อปริมาณมหาศาล จึงไม่น่าแปลกที่ราคายาในเอกชนจะสูงกว่า

แนวทางแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรม จึงควรเริ่มจาก “ต้นทาง” คือ การควบคุมราคายาจากบริษัทผู้ผลิต ผ่านระบบ Reference Price และ Profit Cap โดยให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และ กรมการค้าภายในร่วมกันกำหนด “ราคากลางและเพดานกำไรสูงสุด” สำหรับยาจำเป็น เช่น จำกัดกำไรไม่เกิน 30–40% ควบคู่กับการจัดทำฐานข้อมูลราคากลางออนไลน์ เพื่อเปิดเผยข้อมูลราคายาให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างโปร่งใส

ขณะเดียวกัน รัฐควรบังคับใช้สิทธิ “Prescription Portability” หรือสิทธิของผู้ป่วยในการถือใบสั่งยา ออกไปซื้อยาภายนอกโรงพยาบาลได้อย่างจริงจัง เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถถือใบสั่งยาออกไปซื้อภายนอกได้ โดยไม่ถูกบังคับผูกขาดจากโรงพยาบาล

และต้องเริ่มหารือร่วมกับแพทยสภา เพื่อทบทวนโครงสร้างค่าธรรมเนียมแพทย์ให้เหมาะสมกับบริบทเศรษฐกิจ ควรมีการกำหนด “ค่าบริการกลางของระบบสุขภาพ” (Medical Fee Benchmark) ที่อยู่บนฐานข้อมูลจริง ทั้งจากโรงพยาบาลรัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่าง “รายได้ของบุคลากรแพทย์” และ “ภาระของประชาชน”

การควบคุมค่ายาในโรงพยาบาลเอกชน จึงไม่ควรเป็นเพียง “มาตรการเชิงสัญลักษณ์” หากแต่ต้องเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูประบบสุขภาพไทยในเชิงโครงสร้าง ภายใต้ความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ทำให้ “การดูแลสุขภาพ” ไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือย แต่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม

บทบรรณาธิการ หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,138 วันที่ 9 - 11 ตุลาคม พ.ศ. 2568