KEY
POINTS
เมื่อ ฟิทช์ เรทติ้งส์ ปรับแนวโน้มเครดิตไทยจาก “คงที่” เป็น “เชิงลบ” ในวันที่ 24 กันยายน 2568 แม้จะยังคงอันดับไว้ที่ BBB+ สัญญาณเตือนก็ดังกังวานชัดเจน ตามมาด้วยมูดี้ส์ที่ปรับแนวโน้มลงเป็น “เชิงลบ” เช่นกัน ขณะที่สภาพัฒน์เตือนว่า ไทยอาจตกระดับเป็น “Non-investment Grade” ภายในปี 2570 หากไม่มีการปฏิรูปการคลังอย่างจริงจัง
คำถามที่ตามมา คือ การทบทวนแผนการคลังระยะปานกลางในเดือนพฤศจิกายนนี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนที่ไทยต้องการหรือไม่?
ปัญหาของไทยไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน หนี้สาธารณะของเราพุ่งขึ้นต่อเนื่อง มาอยู่ที่ 64.49% ในปัจจุบัน และคาดว่าจะแตะ 70% ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ขณะที่การจัดเก็บรายได้ยังคงตํ่ากว่า 16% ของ GDP เทียบกับค่าเฉลี่ยของ OECD ที่ 24.8%
ที่น่าวิตกยิ่งกว่านั้นคือ สัดส่วนภาระดอกเบี้ยต่อรายได้รัฐบาล มีแนวโน้มจะเกิน 12% ตั้งแต่ปี 2570 ซึ่งเป็นเกณฑ์วิกฤติที่อาจทำให้ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “Non-investment Grade” การที่ไทยจะกลายเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่ตกระดับนี้ ย่อมส่งผลกระทบรุนแรงต่อต้นทุนการกู้ยืมและความเชื่อมั่นของนักลงทุน
รัฐมนตรีคลัง ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ยํ้าว่าจะ “รักษาวินัยการคลัง” และ “เพิ่มศักยภาพการหารายได้โดยไม่ต้องแก้กฎหมาย” พร้อมตั้งเป้าให้ขาดดุลระยะยาวไม่เกิน 3% ของ GDP แต่ความท้าทายคือ ในขณะที่ขาดดุลปีงบประมาณ 2568 และ 2569 ยังอยู่ที่ 4.6% และ 4.3% ตามลำดับ
ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ จากทีดีอาร์ไอ ชี้ชัดว่า รัฐบาลต้องทบทวนรายจ่ายที่ไม่คุ้มค่า ตัดงบที่กระตุ้นเศรษฐกิจน้อยแต่ใช้เงินมาก และยกเลิกสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ไม่จำเป็น ขณะเดียวกันต้องขยายฐานภาษีให้ครอบคลุมและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ
การตกลงจัดเลือกตั้งภายใน 4 เดือน เพิ่มความไม่แน่นอนต่อนโยบายการคลังระยะยาว ทำให้เส้นทางลดหนี้หลังปี 2569 ไม่ชัดเจน แม้รัฐมนตรีคลังจะมีเวลาเพียง 4 เดือน แต่ต้องพยายาม “ตอบโจทย์ความกังวล สร้างความเชื่อมั่น”
การทบทวนแผนการคลังระยะปานกลางในเดือนพฤศจิกายนนี้ จึงเป็นโอกาสสำคัญที่รัฐบาลต้องแสดงให้เห็นถึงความจริงใจในการปฏิรูป ไม่ใช่แค่คำมั่นสัญญา แต่ต้องมี roadmap ที่ชัดเจนว่าจะลดขาดดุลอย่างไร เพิ่มรายได้อย่างไร และควบคุมรายจ่ายอย่างไร พร้อมเป้าหมายและตัวชี้วัดที่วัดผลได้
ขณะเดียวกัน ต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่มาตรการระยะสั้น แต่ต้องแก้ปัญหาที่ราก ทั้งการขยายฐานภาษี ปรับโครงสร้างรายได้ และเพิ่มประสิทธิภาพรายจ่าย
ที่สำคัญ คือ ความต่อเนื่อง แม้จะมีการเลือกตั้ง แต่ต้องมีกลไกรับประกันว่า วินัยการคลังจะไม่สะดุดจากการเปลี่ยนรัฐบาล ต้องสื่อสารชัดเจนกับทุกภาคส่วนถึงความจำเป็น และผลกระทบของการปฏิรูป เพื่อสร้างฉันทามติและลดการต่อต้าน
หากแผนการคลังระยะปานกลางครั้งนี้ เป็นเพียงตัวเลขบนกระดาษโดยไม่มีแผนปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ไทยอาจต้องเผชิญกับการปรับลดอันดับเครดิตจริง ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมพุ่งสูง เงินลงทุนไหลออก และเศรษฐกิจตกตํ่ายาวนาน
แต่หากรัฐบาลสามารถแสดงให้นักลงทุนและสถาบัน จัดอันดับเห็นถึงความมุ่งมั่นและความสามารถในการปฏิรูป แผนการคลังระยะปานกลางนี้อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ไทยฟื้นความเชื่อมั่นและก้าวต่อไปได้
เวลาไม่เหลือมากแล้ว การปฏิรูปการคลังไม่ใช่ตัวเลือก แต่เป็นความจำเป็น
หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,136 วันที่ 2-4 ตุลาคม พ.ศ. 2568