ประชาธิปไตยไทย จากตัวเลือกที่ดีที่สุด สู่ตัวเลือกที่เกลียดน้อยที่สุด

06 ก.ย. 2568 | 02:43 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ก.ย. 2568 | 02:43 น.

ประชาธิปไตยไทย เปลี่ยนจากการเลือก "ตัวเลือกที่ดีที่สุด" ไปสู่การเลือก "ตัวเลือกที่เกลียดน้อยที่สุด" เป็นผลมาจากความบิดเบี้ยวของระบบการเมือง

KEY

POINTS

  • การเมืองไทยปัจจุบันเปลี่ยนจากการเลือก "ตัวเลือกที่ดีที่สุด" ไปสู่การเลือก "ตัวเลือกที่เกลียดน้อยที่สุด" ซึ่งเป็นผลมาจากความบิดเบี้ยวของระบบการเมือง
  • ปรากฏการณ์ "เลือกเพราะเกลียดอีกฝ่าย" กลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญในการตัดสินใจลงคะแนนเสียงของผู้คน มากกว่าคุณสมบัติหรือนโยบายของผู้สมัคร
  • พฤติกรรมการเลือกตั้งลักษณะนี้ส่งผลให้ประเทศอาจไม่ได้ผู้นำที่มีความสามารถเหมาะสมที่สุด และยังเป็นการปิดกั้นโอกาสของนักการเมืองหน้าใหม่และพรรคขนาดเล็ก

บทความนี้ ขออนุญาตผู้อ่านพักจากการพูดคุยประเด็นเศรษฐกิจโดยตรง แล้วหันมาสะท้อนมุมมองทางการเมือง ซึ่งแม้ดูเหมือนเป็นเรื่องคนละด้าน แต่แท้จริงแล้วส่งผลกระทบต่อทิศทางเศรษฐกิจของประเทศไม่น้อย

ต้นเรื่องของบทความนี้มาจาก ปรากฏการณ์การตัดสินใจของ พรรคส้ม ว่าจะเลือกจับมือกับ พรรคแดง หรือ พรรคน้ำเงิน เพื่อจัดตั้งรัฐบาล และท้ายที่สุดก็เป็นที่ทราบกันแล้วว่าพรรคน้ำเงินได้รับการสนับสนุนให้ขึ้นเป็น นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ของประเทศไทย

การเมืองไทยในปัจจุบันเต็มไปด้วย “ความบิดเบี้ยว”

สิ่งที่น่าสังเกตคือ การเมืองไทยในปัจจุบันเต็มไปด้วย “ความบิดเบี้ยว” พรรคที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุด มีจำนวน ส.ส. สูงที่สุด กลับไม่ได้เป็นผู้นำรัฐบาลหรือได้นายกรัฐมนตรี ทั้งที่เรากำลังเห็นปรากฏการณ์ที่ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งถึง 3 คนในรอบเดียว

ความบิดเบี้ยวนี้ทำให้การเลือกตั้งค่อย ๆ เปลี่ยนจากการเลือก “ผู้นำที่ดีที่สุด” มาเป็นการเลือก “ตัวเลือกที่แย่น้อยที่สุด” หรือในอีกมุมหนึ่งคือ “ไม่เลือกคนที่เราเกลียดมากที่สุด” แทน จึงไม่แปลกใจที่ผู้สนับสนุนพรรคส้มเองยังมีความเห็นต่างกัน เพราะระดับ “ความเกลียด” ที่มีต่อพรรคแดงและพรรคน้ำเงินไม่เท่ากัน

ปรากฏการณ์ “เลือกเพราะเกลียดอีกฝ่าย”

มองย้อนประวัติศาสตร์การเมืองไทย ปรากฏการณ์ “เลือกเพราะเกลียดอีกฝ่าย” ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการเลือกตั้งใหญ่และการเลือกตั้งท้องถิ่น เช่น การเลือกตั้งผู้ว่าฯ ที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยตัดสินใจลงคะแนนเพราะไม่ต้องการให้ผู้สมัครอีกฝ่ายชนะ มากกว่าที่จะเลือกผู้สมัครที่ตนเชื่อว่ามีความสามารถจริง ๆ สิ่งนี้สะท้อนความเป็นจริงทางการเมืองว่า ความเกลียดชังกลายเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญยิ่งกว่าคุณสมบัติหรือวิสัยทัศน์ของผู้สมัคร

ผลลัพธ์ของพฤติกรรมเช่นนี้ทำให้เกิดจุดอ่อนสำคัญสองประการ หนึ่ง ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งอาจไม่ใช่คนที่มีความเหมาะสมมากที่สุด ไม่ได้เป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์ นโยบาย หรือความสามารถในการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง แต่กลับได้ตำแหน่งเพราะอีกฝ่ายถูกเกลียดมากกว่า

สอง แนวคิดนี้ปิดกั้นโอกาสของนักการเมืองหน้าใหม่หรือพรรคเล็กที่อาจมีนโยบายดี ๆ และตอบโจทย์อนาคต เพราะประชาชนจำนวนหนึ่งเลือกที่จะ “รวมเสียง” เพื่อต้านผู้สมัครที่ไม่ชอบ จนละเลยผู้สมัครที่อาจเหมาะสมกว่า และนี่เองที่ทำให้วาทกรรม “เสียงตกน้ำ” กลายเป็นอาวุธที่บั่นทอนความหลากหลายทางการเมืองไทย

ในมุมมองของผู้เขียน หากประเทศไทยต้องการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไปอย่างยั่งยืน กลไกการเลือกตั้งจำเป็นต้องกลับมามีความหมายที่แท้จริงอีกครั้ง นั่นคือ การเปิดโอกาสให้ประชาชนเลือกผู้นำที่มีความรู้ ความสามารถ และอุดมการณ์ โดยไม่ถูกบีบให้เลือกจาก “ความเกลียด” ของตนเอง กติกาและกฎหมายเลือกตั้งในอนาคตจึงควรถูกออกแบบอย่างรอบคอบ

เพื่อทำให้ระบบการเมืองเข้มแข็ง โปร่งใส และเอื้อให้ผู้สมัครทุกกลุ่ม ทั้งพรรคใหญ่ พรรคเล็ก และนักการเมืองหน้าใหม่ มีโอกาสนำเสนอนโยบายเพื่อแข่งขันอย่างเป็นธรรม เพราะสุดท้ายแล้ว ประเทศไทยจะเดินไปข้างหน้าได้ ต้องอาศัยการเมืองที่ขับเคลื่อนด้วย “คุณภาพ” ไม่ใช่ “ความเกลียดชัง”