ส่องนโยบายเร่งด่วนด้านเศรษฐกิจจากเอกชนส่งตรงถึงรัฐบาลใหม่

06 ก.ย. 2568 | 01:19 น.

เอกชนยื่นโจทย์เร่งด่วนทางด้านเศรษฐกิจที่ต้องการเห็นใน 4 เดือนถึงรัฐบาลใหม่ หลังอนุทินคว้าตำแหน่งนายกฯ เชื่อช่วยสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน

KEY

POINTS

  • เสนอให้รัฐบาลใหม่เร่งบรรเทาภาระค่าครองชีพและต้นทุนด้านพลังงาน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนและผู้ประกอบการ
  • ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน ลดภาระภาษี และออกมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้เสีย
  • เร่งรัดการเจรจาการค้ากับต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดสำคัญ เพื่อสร้างความต่อเนื่องและไม่ให้การเจรจาสะดุดในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล
  • ปรับปรุงกฎระเบียบและระบบภาษีให้ทันสมัย ลดความซ้ำซ้อน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า นโยบายเร่งด่วนที่ต้องการเห็นภายใน 4 เดือน ส.อ.ท. เสนอว่ารัฐบาลใหม่ควรเร่งดำเนินการ ประกอบด้วย

  • บรรเทาค่าครองชีพและต้นทุนพลังงาน ที่ส่งผลโดยตรงต่อประชาชนและผู้ประกอบการ
  • ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านการเพิ่มสภาพคล่อง ลดภาษี และมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้เสีย
  • เร่งรัดการเจรจาการค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะกับสหรัฐฯ และตลาดสำคัญ เพื่อไม่ให้การเจรจาสะดุดจากการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง
  • ปรับปรุงระบบธุรกิจและภาษี ให้ทันสมัย ลดความซ้ำซ้อน และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน

ทั้งนี้ จากสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการโหวตเลือกนายอนุทิน ชาญวีรกูล ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลเฉพาะกิจ โดยมีวาระการทำงาน 4 เดือนนั้น ทำให้ประเทศไทยมีความชัดเจนด้านผู้นำรัฐบาล ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนและภาคธุรกิจ หลังจากที่การเมืองมีความไม่แน่นอนมาระยะหนึ่ง 

ส่องนโยบายเร่งด่วนด้านเศรษฐกิจจากเอกชนส่งตรงถึงรัฐบาลใหม่

อย่างไรก็ตาม หวังว่ารัฐบาลชุดใหม่จะคัดเลือกบุคลากรที่มีคุณภาพ มีความรู้ความสามารถ และกล้าตัดสินใจ โดยเฉพาะในทีมเศรษฐกิจหลัก เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม เพราะสิ่งนี้จะเป็นสัญญาณสำคัญที่ช่วยฟื้นความเชื่อมั่นให้ทั้งนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศ แม้จะเป็นรัฐบาลระยะสั้น ก็ควรรีบเร่งทำงานอย่างเต็มที่ทันที

"ต้องยอมรับว่าระยะเวลา 4 เดือนนับว่าสั้นมาก สำหรับการขับเคลื่อนการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นการปรับระบบภาษี การพัฒนาทักษะแรงงาน หรือการวางยุทธศาสตร์ด้านพลังงาน ซึ่งต้องใช้ความต่อเนื่องหลายปีจึงเห็นผลชัดเจน ในระยะเวลาจำกัดนี้ รัฐบาลจึงควรเน้นมาตรการเฉพาะหน้าเพื่อบรรเทาปัญหาเร่งด่วนและสร้างบรรยากาศทางเศรษฐกิจที่ดี"

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังเป็นประเด็นหลักที่กระทบต่อการตัดสินใจลงทุน ภาคธุรกิจและหน่วยงานราชการหลายแห่งอยู่ในภาวะ wait and see ทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 ทำได้เพียงประมาณ 50% ของเป้าหมาย ซึ่งกระทบต่อการหมุนเวียนเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ หากรัฐบาลไม่สามารถดำเนินมาตรการได้อย่างชัดเจน การเจรจาการค้าระหว่างประเทศอาจหยุดชะงัก และการลงทุนใหม่ๆ อาจล่าช้าออกไป ซึ่งจะเป็นความท้าทายสำคัญของรัฐบาลเฉพาะกิจในช่วงเวลาเพียง 4 เดือนนี้

อย่างไรก็ดี แม้รัฐบาลจะมีเวลาจำกัด แต่ก็เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะสร้างแรงกระตุ้นต่อเศรษฐกิจ และสร้างบรรยากาศเชิงบวกให้รัฐบาลถาวรในอนาคตมาสานต่อ ภาคเอกชนพร้อมสนับสนุนและร่วมมือกับรัฐบาลอย่างเต็มที่ เพื่อให้มาตรการเหล่านี้เกิดผลจริง