KEY
POINTS
ความชุลมุนทางการเมืองร้อนแรงรับเดือนกันยายน จากการช่วงชิงอำนาจฝ่ายบริหารชุดใหม่ระหว่าง พรรคสีแดง กับ พรรคสีนํ้าเงิน ที่ใช้ทั้งกลการเมืองและเกมกฎหมาย ชิงไหวชิงพริบและต่อสู้กัน โดยมีพรรคสีส้มเป็นตัวแปรสำคัญ
ในที่สุด ฝ่ายสีนํ้าเงินเป็นฝ่ายกำชัย จัดตั้งรัฐบาล ท่ามกลางความเปราะบางของเสียงปริ่มนํ้า ซึ่งมีเพียง 146 เสียง และมีเวลาจำกัด ก่อนยุบสภาคืนอำนาจให้กับประชาชน ตามกรอบ MOU ที่ลงนาม ระหว่าง พรรคภูมิใจไทย และ พรรคประชาชน ในฐานะฝ่ายสนับสนุน
ภายใต้เงื่อนไข 5 ข้อ ในจำนวนนี้คือ นายกฯ คนใหม่ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน และผลักดันร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยจะโหวตเลือกนายกฯในสภาวันที่ 5 กันยายนนี้ ท่ามกลางความท้าทาย ทั้งระยะเวลาที่สั้น เมื่อเทียบกับโจทย์ใหญ่ที่ต้องเข้าไปแก้ไข ซึ่งเป็นความหวังของประชาชนและภาคเอกชนในช่วงไตรมาสที่เหลือของปีนี้
ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตหนี้ครัวเรือน หนี้ SME ที่ท่วมท้น ไปจนถึงเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวตํ่ากว่าศักยภาพอย่างต่อเนื่อง GDP เติบโตปีนี้เพียง 2% ตํ่ากว่าที่คาดการณ์ไว้ และปีหน้าคาดการณ์ว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจจะตํ่าว่าปีนี้
ขณะที่ภาคส่งออก ซึ่งเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจ กลับเผชิญปัญหาเงินบาทแข็งค่า ค่าแรงสูง คำสั่งซื้อลดลงจากประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะจีน และ ยุโรป ซึ่งต่างก็เผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยในตัวเอง ในขณะภาคท่องเที่ยวเฟืองจักรสำคัญอีกตัว กลับทรุดตัวลงจากนักท่องเที่ยวหายโดยเฉพาะจีน
ภาคการบริโภคในประเทศ ซึ่งเคยเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ได้อ่อนแอลงจากหนี้ครัวเรือนที่สูงทะลุ 90% ของ GDP รายได้ประชาชนไม่เพิ่มขณะที่ค่าครองชีพยังคงพุ่งสูง ดอกเบี้ยแม้ว่าอยู่ในช่วงขาลง แต่ยังคงอยู่ในระดับสูงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ส่งผลให้กำลังซื้อหดตัวอย่างต่อเนื่อง
ที่เป็นปัญหาต้องเร่งคลี่คลาย คือ ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ต้องให้จบโดยเร็ว ที่น่าจับตา ภาษีทรัมป์ จะเป็นชนวนก่อให้เกิดสงครามทางการค้า และภูมิรัฐศาสตร์ในขณะที่ไทยยังคงหาจุดแข็งด้านนโยบายเศรษฐกิจระยะยาวไม่พบ
ในภาวะที่ทุกฝ่ายต่างโยน “เผือกร้อน” ทางเศรษฐกิจมาสู่รัฐบาลใหม่ ภูมิใจไทยจึงต้องแสดงศักยภาพในเชิงนโยบายอย่างเร่งด่วน ทั้งการแก้ปัญหาหนี้ การกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น และการวางรากฐานการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
หากไร้มาตรการฟื้นฟูศักยภาพการผลิต สร้างรายได้ใหม่ให้ประชาชน และคืนความมั่นใจให้ภาคธุรกิจ การฟื้นเศรษฐกิจครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลข แต่คือความสามารถในการ “บริหารความหวัง” ของคนทั้งประเทศ
และไม่ว่าจะใช้แนวทางใด รัฐบาลต้องเร่งสร้าง “นํ้าหนักความน่าเชื่อถือ” ในเชิงนโยบาย ไม่ใช่เพียงการเมือง เพื่อให้ทั้งนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยยังมีอนาคตที่จับต้องได้ ไม่ใช่แค่ “อยู่รอด” แต่ต้อง “เติบโต” ได้จริงแม้จะเข้ามาบริหารในช่วงสั้นๆ เพื่อนำไปสู่การยุบสภาก็ตาม !!!
บรรบรรณาธิการ หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,129 วันที่ 7 - 10 กันยายน พ.ศ. 2568