เมื่อทายาทเพียงหนึ่งคน ที่ยอมเข้ามาสืบทอดธุรกิจของครอบครัว

30 พ.ย. 2568 | 04:33 น.
อัปเดตล่าสุด :30 พ.ย. 2568 | 04:37 น.

เมื่อทายาทเพียงหนึ่งคน ที่ยอมเข้ามาสืบทอดธุรกิจของครอบครัว : Family Business Thailand รศ.ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล คณบดีคณะวิทยพัฒน์และผู้อำนวยการศูนย์ธุรกิจครอบครัว มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย [email protected]

ธุรกิจครอบครัวไม่ใช่เพียงทรัพย์สินทางการเงิน แต่คือผลลัพธ์ของความทุ่มเท ความฝัน และแรงกายแรงใจที่ผู้ก่อตั้งได้สั่งสมมาทั้งชีวิต การส่งต่อกิจการให้ทายาทรุ่นต่อไปจึงไม่ใช่แค่การจัดการทางธุรกิจหรือการเงินเท่านั้น แต่เป็นกระบวนการที่แฝงไปด้วยอารมณ์ ความสัมพันธ์ และความรู้สึกลึกซึ้งของคนในครอบครัว

ทว่าความท้าทายจะยิ่งซับซ้อนขึ้น เมื่อในบรรดาลูกหลายคน มีเพียงคนเดียวที่ต้องการสืบทอดธุรกิจ ขณะที่พี่น้องคนอื่นเลือกเดินตามเส้นทางของตนเอง คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้นทันทีว่า ผู้ก่อตั้งจะทำอย่างไรให้ยุติธรรมกับลูกทุกคน โดยไม่บั่นทอนความสัมพันธ์และยังคงรักษาความมั่นคงของกิจการไว้ได้ในระยะยาว

สิ่งแรกที่ต้องเข้าใจคือ ความยุติธรรม (Fairness) กับ ความเท่าเทียม (Equality) ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

หลายครอบครัวมักคิดว่า การแบ่งหุ้นให้ลูกทุกคนเท่าๆ กันคือทางออกที่ดีที่สุด ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว หากผู้ที่ไม่ได้ทำงานในธุรกิจมีอำนาจเท่ากับคนที่อุทิศตัวให้กับธุรกิจทุกวัน ความตั้งใจดีนั้นอาจกลายเป็นชนวนความขัดแย้งในอนาคตได้ง่าย ดังนั้นความยุติธรรมที่แท้จริง จึงควรตั้งอยู่บนหลักของความเป็นธรรม (Equity) มากกว่าความเท่าเทียม

นั่นหมายถึงการจัดสรรผลประโยชน์ตามบทบาทและความรับผิดชอบของแต่ละคน ไม่ใช่เพียงแบ่งให้เท่ากันทุกฝ่าย เพราะหากขาดการวางแผนอย่างรอบคอบ ความหวังดีของพ่อแม่อาจกลายเป็นรอยร้าวระหว่างพี่น้องได้เลยทีเดียว

เมื่อทายาทเพียงหนึ่งคน ที่ยอมเข้ามาสืบทอดธุรกิจของครอบครัว

ต่อไปนี้คือแนวทางสำคัญในการสร้างสมดุลระหว่างความยุติธรรมและสายใยครอบครัว

1. จัดตั้งทรัสต์ครอบครัว (Family Trust) ทรัสต์เป็นเครื่องมือที่ช่วยแยกอำนาจบริหาร ออกจากผลประโยชน์ทางการเงิน ได้อย่างชัดเจน ลูกที่สานต่อธุรกิจจะได้รับอำนาจตัดสินใจเต็มที่ ทำให้การดำเนินงานคล่องตัว ขณะที่พี่น้องคนอื่นยังคงได้รับผลตอบแทนอย่างเหมาะสม เช่น เงินปันผลผ่านทรัสต์ โดยไม่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการบริหารโดยตรง สำหรับครอบครัวธุรกิจไทยต้องไปจัดตั้งทรัสต์ที่ต่างประเทศ เนื่องจากไทยไม่มีกฎหมายรองรับเรื่องนี้

2. ทำสัญญาผู้ถือหุ้น (Shareholder Agreement) การกำหนดกติกาไว้ล่วงหน้า เช่น หากผู้ถือหุ้นเสียชีวิต เกษียณ หรือประสงค์จะถอนตัว จะจัดการหุ้นอย่างไร ไม่ว่าจะให้บริษัทซื้อคืน หรือให้สิทธิ์ผู้ที่ยังบริหารอยู่ซื้อก่อน ซึ่งเป็นกลไกที่ช่วยป้องกันไม่ให้หุ้นหลุดไปอยู่ในมือคนนอก และรักษาเสถียรภาพของธุรกิจในระยะยาว

3. แบ่งทรัพย์สินอื่นทดแทนหุ้น (Balancing Assets) แนวทางนี้ตรงไปตรงมาและสร้างความรู้สึกยุติธรรมที่สุด คือประเมินมูลค่าธุรกิจอย่างโปร่งใสแล้วมอบให้ลูกที่พร้อมสานต่อธุรกิจ ส่วนลูกคนอื่นก็ได้รับทรัพย์สินอื่นที่มีมูลค่าใกล้เคียงกัน เช่น อสังหาริมทรัพย์ เงินสด หรือพอร์ตการลงทุน เพื่อให้ทุกฝ่ายรู้สึกว่าได้รับการจัดสรรอย่างเหมาะสม

4. สื่อสารกันอย่างเปิดใจ (Open Communication) เหนือกว่าทุกเครื่องมือทางกฎหมาย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา ผู้ก่อตั้งควรเปิดพื้นที่ให้ลูกทุกคนได้แสดงความรู้สึกและความคาดหวังของตนเอง แต่หากบรรยากาศในครอบครัวไม่เอื้อให้ทำเช่นนั้นได้ การใช้ที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัวหรือผู้ไกล่เกลี่ยมืออาชีพก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้การสนทนาเป็นไปอย่างมีเหตุผลและลดความขัดแย้งลงได้มาก

เหนือสิ่งอื่นใด การวางแผนสืบทอดกิจการไม่ได้มีเป้าหมายเพียงการแบ่งทรัพย์สินเท่านั้น แต่คือการรักษามรดกทางจิตใจและสายใยครอบครัว ที่ผู้ก่อตั้งได้สร้างขึ้นมาตลอดชีวิต การวางแผนอย่างโปร่งใส รอบคอบ และคำนึงถึงทั้งธุรกิจและความสัมพันธ์ คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจครอบครัวอยู่รอดและรักษาความผูกพันในครอบครัวได้อย่างยั่งยืน

 

อ้างอิง: Gonsalves, D. (2025). When one child wants the family business and the others don’t. MYFW.