“ตันหยาง”เมืองหลวงแห่งแว่นตาของจีน พลิกโฉมอย่างชาญฉลาดได้อย่างไร (2)

25 ต.ค. 2568 | 00:00 น.

“ตันหยาง”เมืองหลวงแห่งแว่นตาของจีน พลิกโฉมอย่างชาญฉลาดได้อย่างไร (2) : คอลัมน์มังกรกระพือปีก โดย...ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4142

KEY

POINTS

  • เมืองตันหยางเป็นฐานการผลิตเลนส์แว่นตาที่ใหญ่ที่สุดในโลก คิดเป็นสัดส่วนราว 50% ของการผลิตทั่วโลก โดยมีห่วงโซ่อุปทานที่ครบวงจรตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการจัดจำหน่าย
  • อุตสาหกรรมแว่นตาได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐให้เปลี่ยนผ่านสู่การผลิตอัจฉริยะ โดยนำเทคโนโลยี Industry 4.0 เช่น ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์มาใช้ เพื่อเน้นนวัตกรรมมากกว่าปริมาณการผลิต
  • ผู้ผลิตมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค เช่น เลนส์เฉพาะบุคคลที่ผลิตจากแบบจำลองดวงตา 3 มิติ และแว่นตาอัจฉริยะสำหรับตลาดไฮเอนด์

ด้วยพัฒนาการที่ต่อเนื่อง “แว่นตาขนาดเล็ก” ได้กลายเป็นกลไกการขับเคลื่อน “อุตสาหกรรมขนาดใหญ่” ที่เปี่ยมไปด้วยความก้าวหน้าด้านการผลิตอัจฉริยะอย่างรอบด้าน ส่งผลให้ตันหยางกลายเป็นฐานการผลิตเลนส์แว่นตาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ศูนย์กระจายสินค้าแว่นตาที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และฐานการผลิตแว่นตาที่ใหญ่ที่สุดของจีน และยังคงขยายตัวในระดับนานาชาติ ...

ข้อมูลของรัฐบาลท้องถิ่นระบุว่า อุตสาหกรรมแว่นตาของเมือง มีผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกว่า 1,600 ราย และว่าจ้างงานกว่า 50,000 ตำแหน่ง โดยสามารถผลิตเลนส์มากกว่า 400 ล้านคู่ต่อปีในปัจจุบัน คิดเป็นราว 50% ของการผลิตเลนส์แว่นตาทั่วโลก และสร้างมูลค่าผลผลิตราว 20,000 ล้านหยวนต่อปี 

โดยการสนับสนุนส่งเสริมจากภาครัฐ อุตสาหกรรมนี้ของตันหยางจึงมิได้จำกัดอยู่เฉพาะในด้านการผลิต แต่ยังแข็งแกร่งในด้านการออกแบบและการวิจัยและพัฒนา สะท้อนว่าอุตสาหกรรมมีห่วงโซ่อุปทานที่ดีและบูรณาการในแนวตั้ง (Vertical Integration) ตั้งแต่การออกแบบ การวิจัยและพัฒนา การผลิต การควบคุมคุณภาพ การสร้างแบรนด์ การจัดจำหน่าย การส่งออก ทั้งออฟไลน์ และ ออนไลน์ (โดยไม่ต้องพึ่งพาซัพพลายเออร์ภายนอกและลดความเสี่ยงไปพร้อมกัน) 

รัฐบาลจีนยังเสริมสร้างความแข็งแกร่งของ “คลัสเตอร์” ด้วยการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรม ที่เกี่ยวข้องและอุตสาหกรรมสนับสนุนอย่างต่อเนื่องและรอบด้าน โดยจัดให้มีการเชื่อมโยงที่แน่นแฟ้นระหว่างผู้ประกอบการกับสถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย และอื่นๆ เพื่อดึงดูดและพัฒนาผู้ที่มีความสามารถ 

รวมไปถึงการจัดตั้งศูนย์บ่มเพาะวิศวกรรมออปติคอล ซึ่งอาจต่อยอดไปสู่ห่วงโซ่แห่งคุณค่าด้านทัศนศาสตร์และโฟโตนิกส์ ศูนย์กำกับดูแลและตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์แว่นตาแห่งชาติ และศูนย์บริการสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา รวมทั้งแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนเพื่อขยายตลาดและเข้าถึงผู้บริโภคต่างประเทศ 

นอกจากนี้ ในช่วงหลายปีหลัง ศูนย์กลางการผลิตแบบดั้งเดิมแห่งนี้ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับความสำเร็จ แต่ยังคงมุ่งมั่นพัฒนา “นวัตกรรม” อย่างต่อเนื่อง มากกว่า “ปริมาณการผลิต” ดังเช่นในอดีต 

ทำให้ผู้ผลิตในตันหยางต่างรับเอาแนวทางปฏิบัติของอุตสาหกรรม 4.0 มาประยุกต์ใช้อย่างกว้างขวาง อาทิ ระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และ การออกแบบดิจิตัล ซึ่งเพิ่มความเร็วและความแม่นยำบนพื้นฐานของต้นทุนค่าใช้จ่ายในการออกแบบและการผลิตที่ลดลง 

ในช่วงวิกฤติโควิด อุตสาหกรรมแว่นตาในตันหยาง ยังพยายามพัฒนา “แว่นตาวัดอุณหภูมิ” และ “แว่นตากันไอน้ำ” สำหรับผู้สวมหน้ากากอนามัย เป็นต้น

                     “ตันหยาง”เมืองหลวงแห่งแว่นตาของจีน พลิกโฉมอย่างชาญฉลาดได้อย่างไร (2)

ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตในตันหยางก็ยังให้ความสำคัญกับความต้องการของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก ด้วยการพัฒนาคุณสมบัติการใช้งานขั้นสูงที่หลากหลาย อาทิ เลนส์ที่มีน้ำหนักเบา โปร่งใสสูง และตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเลนส์ป้องกันแสงสีฟ้า ป้องกันรังสียูวี เลนส์โปรเกรสซีฟ เลนส์โฟโตโครมิก 9 เฉดสี หรือแม้กระทั่งเลนส์ป้องกันฝ้าที่เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่สาวจีน 

นอกจากนี้ ผู้ผลิตยังอาศัยการพัฒนาอุปกรณ์หุ่นยนต์ 5 แกนสำหรับการผลิตเลนส์ที่แม่นยำและคิดค้นนวัตกรรมเลนส์มัลติโฟกัสเพื่อปกป้องสายตาของคนรุ่นใหม่

อีกตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ นอกเหนือจากการอัพเกรดเลนส์แล้ว ผู้ประกอบการในพื้นที่ยังพัฒนา และจดสิทธิบัตรคุ้มครองระบบตรวจสายตาและการประกอบเลนส์ล้ำสมัยไว้ด้วยแล้ว 

ทั้งนี้ ย้อนกลับไปกว่า 180 ปีก่อน เยอรมนีได้คิดค้นและออกแบบกระบวนการดังกล่าวขึ้น โดยในระยะแรก มีการกำหนดระยะห่างทุกๆ 50 องศา และต่อมาได้พัฒนาความคลาดเคลื่อนที่แม่นยำยิ่งขึ้นที่ 25 องศา ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติที่ยังคงดำเนินมาจนถึงระยะหลัง

แต่ปัจจุบัน ผู้ประกอบการในตันหยาง ได้พัฒนาระบบดังกล่าวด้วยการสร้างแบบจำลองดวงตา 3 มิติ และประมวลผลข้อมูลการมองเห็นผ่านเซิร์ฟเวอร์คลาวด์ เพื่อผลิตเลนส์ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับลูกค้าด้วยความแม่นยำภายใน 5 องศา ซึ่งช่วยยกระดับความแม่นยำในการแก้ไขสายตา และความพึงพอใจของลูกค้าอย่างมีนัยสำคัญ

ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีหลัก ยังถือเป็น “อาวุธลับ” อีกอย่างหนึ่งของผู้ผลิตในตันหยาง เทคโนโลยีเลนส์ที่ใช้การพิมพ์หินอันล้ำสมัย ช่วยลดข้อจำกัดเกี่ยวกับวัตถุดิบและกระบวนการผลิต ด้วยระบบการผลิตที่ล้ำสมัยผสมโรงเข้ากับการสนับสนุนด้านบุคลากรจากหลากหลายสาขา  

อาทิ AI นาโนเทคโนโลยี และวัสดุศาสตร์ นำไปสู่ความสำเร็จในการพัฒนานวัตกรรมแบบครบวงจรที่ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตอุปกรณ์ไปจนถึงเทคนิคการผลิต ยกตัวอย่างเช่น ผู้ผลิตของตันหยางเปลี่ยนจากการใช้วิธีการเคลือบแบบดั้งเดิม ไปเป็นการใช้เทคโนโลยีการขึ้นรูปฟิล์มนาโน ซึ่งผลิตเลนส์ที่ทนทานต่อแรงกระแทกและการสึกหรอ รวมทั้งการลดรอยเปื้อนได้ดียิ่งขึ้น

นอกเหนือจากเลนส์แล้ว ผู้ผลิตในตันหยางยังพยายามพัฒนากรอบแว่นตาและส่วนอื่นๆ อย่างไม่หยุดยั้ง อาทิ การผลิตกรอบแว่นน้ำหนักเบาที่ลอยน้ำได้ 

ปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบแว่นตาราว 1,000 คน ในพื้นที่สร้างสรรค์แว่นตารุ่นใหม่เฉลี่ยกว่า 3,000 แบบในแต่ละปี รวมทั้งการใช้ระบบการสแกนใบหน้าสำหรับแว่นตา ที่ออกแบบเฉพาะบุคคล แนวคิดดังกล่าว ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบเฉพาะบุคคลอีกด้วย 

ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อรองรับแนวโน้มการพัฒนาของพลังแห่งคุณภาพใหม่ๆ อุตสาหกรรมแว่นตาของตันหยางในปัจจุบัน กำลังเร่งการเปลี่ยนแปลงและบุกเบิกตลาดระดับไฮเอนด์ ซึ่งรวมถึงแว่นตาเฉพาะทางสำหรับ AR/VR และ แว่นตาอัจฉริยะ พร้อมคุณสมบัติการนำทางและการแปลแบบเรียลไทม์ ทำให้ “แบรนด์ตันหยาง” เชื่อมโยงไปสู่มิติเชิง “คุณภาพ” และ “นวัตกรรม” มากยิ่งขึ้นในอนาคต

นั่นหมายความว่า ตันหยางในปัจจุบันมีเครือข่ายอุตสาหกรรมแว่นตาครบวงจรที่ผสมผสานการออกแบบ การผลิต การขาย และ ลอจิสติกส์ โดยมีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมอุตสาหกรรมแว่นตาทั้งหมด

ยิ่งไปกว่านั้น อุตสาหกรรมนี้ยังให้ความสำคัญกับประเด็น “เศรษฐกิจสีเขียว” โดยลงทุนพัฒนากระบวนการผลิตที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ก่อมลพิษต่ำ และประหยัดพลังงาน 

ความก้าวหน้าดังกล่าวกำลังขยายขอบเขตการพัฒนาของอุตสาหกรรมแว่นตาสมัยใหม่ และสร้างแรงผลักดันใหม่ให้กับการเปลี่ยนผ่านของตันหยางไปสู่การผลิตอัจฉริยะที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
ตันหยางเข้าถึงและคว้าตลาดต่างประเทศได้อย่างไร ไปคุยกันต่อตอนหน้าครับ ...

คอลัมน์มังกรกระพือปีก โดย...ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4142