KEY
POINTS
คุยกันต่อเลยครับ ...
ความพยายามหลายสิ่งดังกล่าวช่วยให้นักศึกษาจีนได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์จริงเกี่ยวกับอัลกอริธึมและการเรียนรู้ของเครื่องจักร (Matching Learning) ยกตัวอย่างเช่น วิทยาลัยฉิวเจิน (Qiuzhen) ของมหาวิทยาลัยชิงหวา แห่งปักกิ่ง จัดค่ายฤดูร้อนด้านคณิตศาสตร์และ AI สำหรับเยาวชน ซึ่งผสมผสานพื้นฐาน AI การเขียนโปรแกรม Python การสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ และการพิจารณาเชิงจริยธรรม
โปรแกรมเหล่านี้ ช่วยสร้างการเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่นจากความรู้ในห้องเรียนสู่การปฏิบัติจริงในโครงการ โดยเปลี่ยนนักศึกษาจาก “ความเข้าใจเชิงรับ” ไปสู่ “การแก้ปัญหาเชิงรุก”
อย่างไรก็ดี จีนก็เผชิญกับความท้าทายในอีกหลายส่วนเช่นกัน โดยในด้านหนึ่ง การลดช่องว่างด้านบุคลากรนับเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการก้าวขึ้นเป็นผู้นำ AI โลกของจีน ตามเป้าหมายในปี 2030 และการพัฒนาเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมการผลิต และสังคมของจีนและโลกในภาพใหญ่ หรือแม้กระทั่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ในอนาคต (นักวิชาการบางคนระบุว่า เราเข้าสู่ช่วงแรกของการปฏิวัติอุตสาหกรรมโลกแล้ว)
การดำเนินการดังกล่าว มุ่งหวังที่จะตอบสนองต่อความต้องการของอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบัน อุตสาหกรรม AI ของจีนมีกิจการที่ครอบคลุมชิป อัลกอริธึม แอปพลิเคชั่น และอื่นๆ รวมมากกว่า 4,500 แห่ง และมีมูลค่าราว 600,000 ล้านหยวน
ในด้านอุปสงค์ คนจีนใช้ Generative AI อยู่ที่ราว 300 ล้านคนในปัจจุบัน แต่สำหรับผมแล้ว นี่เป็นเพียงระยะต้นของการพัฒนาเท่านั้น จำนวนผู้ใช้คาดว่า จะเพิ่มอีกเป็นหลายเท่าตัวในไม่กี่ปีข้างหน้า ทั้งในเชิงกลุ่มเป้าหมาย องค์กร และตลาดในเชิงภูมิศาสตร์
ด้วยพัฒนาการด้านเทคโนโลยีที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็วและศักยภาพทางการตลาดที่สูงมาก ผมจึงเชื่อมั่นว่า อุตสาหกรรม AI ของจีนจะขยายตัวอย่างก้าวกระโดด ทั้งในเชิงนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และมูลค่าอุตสาหกรรม เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่รออยู่ นั่นหมายถึงความต้องการบุคลากรในสาขาวิชา AI และที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก
บทบาทของ AI มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในโลกดิจิตัล การบูรณาการวิศวกรรมเครื่องกลเข้ากับ AI บิ๊กดาต้า และอินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่งนำไปสู่นวัตกรรมมากมายในยุคหลัง อาทิ การพัฒนาวิศวกรรมหุ่นยนต์ และยานยนต์อัจฉริยะ
พัฒนาการของรถไฟความเร็วสูงตลอดหลายปีที่ผ่านมา ล้วนต้องอาศัยความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบ วัสดุใหม่ การบำรุงรักษา การขับเคลื่อน และการควบคุมด้วย AI
ยิ่งรถไฟความเร็วสูงรุ่น CR450 ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการก่อนตรุษจีนที่จะถึงนี้ ก็ล้ำสมัยมากยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับ CR400 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน อาทิ หัวลากและโบกี้รถไฟที่เบาลง 12% อันเนื่องจากการใช้คาร์บอนไฟเบอร์และอลูมิเนียม ลู่ลมตามหลักพลศาสตร์ ซึ่งช่วยลดแรงเสียดทานและเสียงในห้องโดยสารถึง 22% ทำให้ประหยัดพลังงาน 20%
ประการสำคัญ CR450 ยังติดตั้งเซ็นเซอร์มากกว่า 4,000 ตัว สามารถควบคุมระบบได้แบบเรียลไทม์ และเมื่อความเร็วสูงขึ้น รถไฟรุ่นนี้ก็ออกแบบและติดตั้งระบบเบรคฉุกเฉินหลายระดับเพื่อความปลอดภัย ทำให้สามารถหยุดรถไฟที่วิ่งด้วยความเร็ว 400 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 1 นาที ความสำเร็จของจีนในการพัฒนาดังกล่าว ล้วนได้รับประโยชน์อย่างมากจาก AI
แต่ในอีกด้านหนึ่ง การเปิดหลักสูตรดังกล่าว อาจทำให้ปัญหาการขาดแคลนคณาจารย์ และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องขยายวงกว้างขึ้น นอกจากนี้ สถาบันการศึกษายังต้องให้ความสำคัญ กับประเด็นการสร้างความสมดุลระหว่างปริมาณและคุณภาพควบคู่ไปด้วย
ในแง่ของตัวบุคลากรเอง นักศึกษาจีนส่วนใหญ่มองว่า AI เป็นเสมือน “เส้นเลือดใหญ่” และกลัวว่าจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ไม่ใช่เฉพาะความสำเร็จในด้านการศึกษาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการทำงานในอนาคตอีกด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ สาขาวิชา AI กลายเป็นคำพ้องความหมายของ “เงินเดือนสูง” และ “โอกาสในการจ้างงาน” ในจีน
ยกตัวอย่างเช่น นักศึกษากฎหมายในปักกิ่งยังได้เข้าร่วมกลุ่มพัฒนาอาชีพ เพื่อเรียนรู้ทักษะ AI เพิ่มเติม และเตรียมความพร้อมสำหรับตลาดงาน การเข้าใจวิธีการใช้ AI ให้ดีขึ้นไม่ใช่แค่เคล็ดลับการเรียน แต่เป็นทักษะที่จำเป็นในตลาดการจ้างงานของจีนที่เปราะบาง
รายงานของผลการวิจัยหนึ่งของจีน พบว่า 80% ของตำแหน่งงานสำหรับบัณฑิตจบใหม่ระบุว่า ทักษะที่เกี่ยวข้องกับ AI เป็นเงื่อนไขคุณสมบัติที่เป็นข้อได้เปรียบในปี 2025 ในสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและตลาดแรงงานที่มีการแข่งขันสูง
ข้อมูลอีกส่วนหนึ่งยังระบุว่า ผู้สำเร็จการศึกษาด้านวิศวกรรมยานยนต์อัจฉริยะมีอัตราการจ้างงานสูงถึง 97% โดยส่วนใหญ่จึงสมัครเข้าทำงานในรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น China Railway และ CRRC Corporation
ขณะที่บัณฑิตสาขา AI ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีปักกิ่ง ได้เข้าทำงานในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีน อาทิ Lenovo และ State Grid Beijing
ยิ่งไปกว่านั้น การนำ AI มาใช้ในระบบการศึกษา ก็เผชิญกับความท้าทายในประเด็น “ความซื่อสัตย์ทางวิชาการ” และ “ความเป็นธรรมในการสอบ” สถาบันการศึกษามีความกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับนักเรียนนักศึกษาที่ใช้เครื่องมือ AI เพื่อโกงข้อสอบ
นักเรียนนักศึกษาต่างได้รับคำเตือนไม่ให้ใช้ AI เพื่อโกงข้อสอบ โดยแพลตฟอร์มเทคโนโลยีชั้นนำ จึงได้ระงับการใช้งาน AI ในการสอบที่มีเดิมพันสูง เช่น การสอบเข้ามหาวิทยาลัย เพื่อป้องกันการสอบที่ไม่เป็นธรรม
นอกจากนี้ เมื่อ AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้น นักเรียนนักศึกษาจีนยังต้องเผชิญกับความท้าทาย และแรงกดดันทางวิชาการรูปแบบใหม่ เช่น การจดจำและการรวบรวมข้อมูล ผมคิดต่อเล่นๆ ว่า AI อาจทำให้การพัฒนาของสมองมนุษย์อาจเปลี่ยนแปลงไปในระยะยาวก็เป็นได้
ท่ามกลางความท้าทายที่รออยู่ในยุคของการปรับโครงสร้างการศึกษาระดับโลก และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิตัลอย่างไม่สิ้นสุดในปัจจุบันและอนาคต จีนกำลังให้ความสำคัญกับการสร้างความสามารถด้าน AI และทักษะการแก้ไขปัญหาแก่คนรุ่นใหม่เป็นอันดับแรก และนี่อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่จะชี้ถึงความสามารถในการแข่งขันอย่างแท้จริงของจีน ในเวทีในอนาคต
ขณะที่ AI กำลังเป็นปัจจัยสำคัญที่ชี้ถึงความอยู่รอดและความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศ ผมก็มีคำถามสำคัญผุดขึ้นตามมา ไทยจะเปิดรับและพัฒนาอุตสาหกรรม AI ทั้งระบบนิเวศได้ทันต่อความต้องการหรือไม่? อย่างไร? ...
คอลัมน์มังกรกระพือปีก โดย...ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4137