จีนเร่งขยาย AI ในระบบการศึกษาเตรียมพร้อมก้าวขึ้นสู่แชมป์โลก (2)

20 ก.ย. 2568 | 00:00 น.

จีนเร่งขยาย AI ในระบบการศึกษาเตรียมพร้อมก้าวขึ้นสู่แชมป์โลก (2) : คอลัมน์มังกรกระพือปีก โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน ฐานเศรษฐกิจ

KEY

POINTS

  • มหาวิทยาลัยชั้นนำของจีนกำหนดให้วิชา AI เป็นวิชาบังคับและสนับสนุนให้นักศึกษาเข้าถึงเครื่องมือ AI ได้อย่างเต็มที่เพื่อเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยี
  • มีการนำ AI มาใช้ในห้องเรียนอย่างแพร่หลาย เช่น หุ่นยนต์ผู้ช่วยสอนและแพลตฟอร์มตรวจการบ้าน พร้อมทั้งพัฒนาทักษะครูในการใช้เครื่องมืออัจฉริยะ
  • จีนใช้ติวเตอร์ AI เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยนำความรู้จากครูผู้เชี่ยวชาญมาสร้างบทเรียนสำหรับนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล
  • การผลักดันการใช้ AI ในการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติ โดยมีเป้าหมายในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้าน AI ของโลกภายในปี 2030

“ถึงเราไม่เปลี่ยน โลกก็เปลี่ยน” คำกล่าวนี้ดูจะจริงแท้และแน่นอนเมื่อพิจารณาจากบริบทที่เครื่องมือ AI กำลังบานสะพรั่งในยุคหลัง ดังนั้น นอกจากการจัดทำหลักสูตร AI ในหลายรูปแบบ พื้นที่ และระดับแล้ว จีนยังเดินหน้าทำอะไรอีกบ้าง เป็นประเด็นคำถามที่น่าสนใจยิ่ง ...

ในกรณีของมณฑลเจ้อเจียง ในพื้นที่ปากแม่น้ำแยงซีเกียง ที่ดำเนินการพัฒนา AI อย่างเข้มข้นและครอบคลุม มหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่งได้ “ใส่เกียร์” เดินหน้าเต็มตัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน 

ยกตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง หนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำในพื้นที่ ได้กำหนดเป้าหมายให้นักศึกษาเข้าถึงเครื่องมือ AI ได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้นักศึกษาสามารถติดตามเทคโนโลยี ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้อย่างใกล้ชิด 

หลายมหาวิทยาลัยในมณฑลแห่งนี้ ยังได้กำหนดให้วิชา “AI เบื้องต้น” เป็น “วิชาบังคับ” สำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี และสามารถใช้บัตรประจำตัวนักศึกษาเข้าถึงแบบจำลองได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

นอกจากนี้ การสำรวจเมื่อเร็วๆ นี้ยังระบุว่า บางสถาบันการศึกษายังได้นำ AI เชิงสร้างสรรค์ (Generative AI) เข้ามาใช้ในหลักสูตรและยอมรับว่าเป็น “ทักษะที่ต้องฝึกฝนให้เชี่ยวชาญ” ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากของโลกตะวันตก ที่มองว่า AI เป็น “ภัยคุกคาม” จึงไม่น่าแปลกใจที่เราเห็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยของจีน ใช้ AI อย่างแพร่หลาย 

งานวิจัยดังกล่าวพบข้อมูลที่น่าสนใจยิ่งว่า มีคณาจารย์และนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเพียง 1% เท่านั้น ที่ไม่เคยใช้ AI ในการเรียนหรือการทำงาน และเกือบ 60% ใช้เครื่องมือเหล่านี้บ่อยครั้ง ระดับหลายครั้งต่อวัน หรือ หลายครั้งต่อสัปดาห์

ความแตกต่างทางวัฒนธรรมยิ่งแสดงให้เห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นในความรู้สึกของสาธารณชน รายงานเกี่ยวกับทัศนคติด้าน AI ทั่วโลกจาก “สถาบันปัญญาประดิษฐ์ที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง” (Standford Institute for Human Centered Artificial Intelligence) หรือในตัวย่อว่า “HAI” แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด พบว่า จีนเป็นผู้นำโลกในด้านความกระตือรือร้น โดยราว 80% ของผู้ตอบแบบสอบถามชาวจีนรู้สึก “ตื่นเต้น” กับบริการ AI ใหม่ๆ เทียบกับเพียง 35% ในสหรัฐฯ และ 38% ในสหราชอาณาจักร

นอกจากนี้ ภายหลังการเปิดตัว DeepSeek แอพ ซึ่งถือเป็น AI ที่เทียบเท่าเทคโนโลยีที่ทันสมัยสุดของสหรัฐฯ แต่สร้างขึ้นด้วยต้นทุนเพียงเศษเสี้ยว ทำให้เราเห็นมหาวิทยาลัยหลายแห่งของจีน “คิดนอกกรอบ” พยายามสร้าง “มหาวิทยาลัย AI” ขึ้น โดยเริ่มจากการนำ DeepSeek “เวอร์ชั่นเต็ม” ซึ่งให้ข้อมูลเชิงลึกที่ยาวขึ้น รอบการสนทนาที่ไม่จำกัด และฟังก์ชั่นการทำงานที่กว้างขวางกว่าเวอร์ชั่นฟรี ที่เปิดให้สาธารณชนเข้าถึงได้ มาใช้งานภายในมหาวิทยาลัยและให้นักศึกษาได้ใช้กัน

ผู้บริหารของมหาวิทยาลัยของจีนเหล่านี้ยัง “กล้า” ที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง เพราะก่อนหน้านี้  นักศึกษาจีนจำนวนมากก็ยอมควักกระเป๋าจ่ายเงินซื้อ ChatGPT แอพ AI สัญชาติอเมริกัน โดยใช้ VPN หรือเข้าตลาดออนไลน์ “สีเทา” เพื่อเข้าถึงโมเดลตะวันตกมาอยู่บ้างแล้ว แต่ปัจจุบันคนเหล่านี้มี “ทางเลือก” ที่ดีเท่า แต่ถูกและสะดวกกว่า รวมทั้งยังไม่ต้องกังวลใจเรื่องการกระทำผิดกฎหมายอีกต่อไป

ขณะเดียวกัน โครงการ AI+ ของภาครัฐนี้ ยังมุ่งสร้างบุคลากรที่มีความสามารถ พร้อมกับพัฒนาความสามารถของครูอาจารย์ในการใช้เครื่องมืออัจฉริยะและปกป้องข้อมูล ซึ่งครอบคลุมทั้งการฝึกอบรมครูอาจารย์ และนักเรียนนักศึกษา และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างโรงเรียน มหาวิทยาลัย และ บริษัทเทคโนโลยี

นอกจากนี้ AI ยังกำลังกลายเป็น “เรื่องธรรมดา” ที่ปรับเปลี่ยนโฉมและบรรยากาศในห้องเรียน ในบางโรงเรียน หุ่นยนต์ผู้ช่วย AI กำลังร่วมสอนบทเรียน เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของนักเรียน ขณะที่แพลตฟอร์มอัจฉริยะ ช่วยให้ครูตรวจการบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและให้ข้อเสนอแนะเฉพาะบุคคล 

ยิ่งไปกว่านั้น บางห้องเรียนยังทดลองใช้ที่คาดศีรษะตรวจจับสมอง และการวิเคราะห์ AI เพื่อช่วยให้ครูสามารถปรับวิธีการสอนได้แบบเรียลไทม์อีกด้วย

ตามข้อมูลของกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และประกันสังคมจีนระบุว่า สาขาวิชาด้านคอมพิวเตอร์และสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับ AI ครอง 10 สาขาวิชายอดนิยมสูงสุดในจีน แต่ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้าน AI ในจีนจึงยังคงมีอยู่มาก โดยช่องว่างแรงงานด้าน AI ของจีนมีมากกว่า 5 ล้านคน 

ขณะเดียวกัน โดยที่จีนเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ ในเชิงภูมิศาสตร์และความเจริญและประชากรของจีน ยังกระจุกอยู่ในเขตเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในซีกตะวันออกของจีน ทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างทรัพยากรการศึกษาที่มีคุณภาพในเขตเมือง และ ชนบท และ ระหว่างภูมิภาคซ่อนอยู่อีกด้วย 

ปัญหายังขยายวงไปถึงครูอาจารย์และผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณภาพในบางพื้นที่ เราจึงเห็นโรงเรียนตามหมู่บ้านในพื้นที่ชนบท ประสบปัญหาการขาดแคลนครูที่มีคุณภาพ ขณะที่นักเรียนในพื้นที่ก็ไม่ได้เรียนรู้วิชาต่างๆ อย่างเหมาะสม เช่น คณิตศาสตร์ และ การอ่านเขียน และนำไปสู่ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาในที่สุด

เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โรงเรียนเหล่านี้จึงเริ่มรับเอาติวเตอร์ AI ที่ยึดเอาภูมิปัญญาของ “ครูที่ดีที่สุด” ของจีนมาใช้ในการสร้างบทเรียนที่เฉพาะเจาะจงสำหรับนักเรียนแต่ละคนเสมือน “การสอนพิเศษส่วนตัว” ซึ่งช่วยส่งเสริมการเรียนรู้คุณภาพสูงของเยาวชนจีนจำนวนหลายร้อยล้านคน ช่วยลดช่องว่างทางการศึกษาระหว่างครูและนักเรียนแบบเป็นปัจจุบัน และมอบความเท่าเทียมกันให้กับนักเรียนของจีนได้ในวงกว้าง

คนในวงการเปรยว่า AI จะเปลี่ยนแปลงการศึกษาได้อย่างมากเท่านั้น และ “สมองมนุษย์อาจฉลาดขึ้นถึง 10 เท่า” เลยทีเดียว!!!

ดังนั้น แทนที่จะกีดกัน จีนจึงเลือกที่จะ “สนับสนุนส่งเสริม” ให้นักเรียนนักศึกษาใช้ AI เพื่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพและการคิดขั้นสูง

การดำเนินงานดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดัน “ทั่วประเทศ” เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักเรียนนักศึกษาสำหรับอนาคตที่ถูกกำหนดโดย AI และเพื่อให้การศึกษาด้าน AI สามารถเข้าถึงได้อย่างทั่วถึงภายในปี 2030 ซึ่งเป็นปีเป้าหมายที่กำหนดให้ AI จีนก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแชมป์โลก

นอกจากมิติด้านการเรียน AI ยังก่อประโยชน์ในหลากหลายมิติ ไล่ตั้งแต่การสร้างงาน และความก้าวหน้าในด้านการดูแลสุขภาพ หุ่นยนต์ และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และอื่นๆ ในวงกว้าง

ตัวอย่างของประโยชน์เหล่านี้มีอะไรบ้าง ไปคุยกันต่อในตอนหน้าครับ

คอลัมน์มังกรกระพือปีก โดย...ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4132  ...