KEY
POINTS
เมื่อตรุษจีนปี 2025 เราตื่นตะลึงไปกับข่าวการเปิดตัว “DeepSeek” ของจีนที่ซ่อนไว้ซึ่งนวัตกรรม เราคุยกันเรื่องการกำหนดนโยบาย แผนงาน และเป้าหมายการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ของจีนขึ้นเป็นผู้นำโลกภายในปี 2030 และการนำเอาปัญญาประดิษฐ์มาประยุกต์ใช้ในจีนกันอย่างแพร่หลาย
แต่หลายคนก็อาจเกิดคำถามสงสัยว่ารัฐบาลจีนไม่กลัวคนจีนตกงานกันบ้างหรือ? และยังคงเดินหน้าผลักดันปัญญาประดิษฐ์ในระบบเศรษฐกิจและการศึกษาอยู่ต่อไปหรือไม่? อย่างไร? ...
ปัญญาประดิษฐ์ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมตามนโยบาย Made in China 2025 ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องนับแต่ปี 2015 และทำให้ AI ของจีนเติบใหญ่ขึ้นโดยลำดับ
อุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ของจีนพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2023 อุตสาหกรรม AI หลักของจีนมีมูลค่าสูงถึง 500,000 ล้านหยวน และมีจำนวนกิจการมากกว่า 4,400 แห่ง
ทั้งนี้ ข้อมูลจากศูนย์พัฒนาอุตสาหกรรมสารสนเทศแห่งชาติจีน (China Center for Information Industry Development) คาดการณ์ว่า มูลค่าตลาดของปัญญาประดิษฐ์ขนาดใหญ่จะพุ่งสูงถึง 1.5 ล้านล้านหยวนภายในปี 2025 ซึ่งนับเป็นตลาดอันดับต้นๆ ของโลก
เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ที่ประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (National People’s Congress) ของจีน ซึ่งถือเป็นสภานิติบัญญัติที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2024 ได้พิจารณาอนุมัติโครงการ AI Plus ตามการนำเสนอผ่านรายงานการทำงานของรัฐบาลจีน
เพราะโครงการ AI Plus จะเร่งวิจัยและพัฒนา นำเอาปัญญาประดิษฐ์ไปต่อยอดในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น เกษตรกรรม บริการ และสาขาอื่นๆ ซึ่งจะกลายเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิตัลที่มีคุณภาพสูงในวงกว้าง และสร้างคลัสเตอร์อุตสาหกรรมดิจิตัลที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันระดับระหว่างประเทศ
นี่เป็น “เชื้อ” ที่ต่อยอดนโยบาย Made in China 2025 ไปสู่ New-Quality Productive Forces (กำลังการผลิตคุณภาพใหม่) ที่คาดว่าจะดำเนินไปในช่วงระหว่างปี 2026-2035
และหากโครงการนี้สัมฤทธิ์ผล เราก็น่าจะเห็นการยกระดับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งในเชิงประสิทธิภาพและคุณภาพผลิตภัณฑ์ ควบคู่ไปกับความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมไปสู่การพัฒนาขั้นสูงและอัจฉริยะ ช่วยสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจใหม่ด้วยการดึงดูดการลงทุนและบุคลากรที่มีความสามารถมากขึ้น
ประเด็นสำคัญที่น่าคิดก็คือ ขณะที่หลายประเทศโดยเฉพาะชาติตะวันตก กังวลใจเกี่ยวกับการเติบใหญ่ของ AI และพยายามลดบทบาทของ AI ในระบบเศรษฐกิจและการศึกษา แต่รัฐบาลจีนกลับ “คิดต่าง” เพราะมอง AI ว่าเป็นทักษะที่ต้องเรียนรู้มากกว่าภัยคุกคาม และ “ไฟเขียว” ผลักดันการพัฒนาในเชิงรุก โดยพยายามเร่งบูรณาการ AI อย่างลึกซึ้งในทุกภาคส่วน รวมถึงภาคการศึกษา
โดยที่จีนมองว่า เมื่ออุตสาหกรรม AI จีนเติบโตอย่างรวดเร็วและมีศักยภาพสูงสำหรับการพัฒนาในอนาคต ก็ย่อมทำให้อุปสงค์บุคลากรที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว จีนจึงส่งสัญญาณแรงให้สถาบันการศึกษาทั่วประเทศเร่งจัดระเบียบในส่วนที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้สถาบันการศึกษาในหลายระดับของจีน ต้องจัดทำหลักสูตรการเรียนการสอนและสิ่งอำนวยความสะดวกด้าน AI กันขนานใหญ่ในช่วงที่ผ่านมาเพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ “AI+” ระดับชาติ
ในเดือนมกราคม 2025 จีนได้ออกแผนปฏิบัติการระดับชาติฉบับแรกเพื่อสร้าง “ประเทศที่เข้มแข็ง” ภายในปี 2035 เพื่อช่วยประสานงานการพัฒนาการศึกษาและปรับปรุงประสิทธิภาพด้านนวัตกรรม ซึ่งนำไปสู่การเริ่มหลักสูตรด้าน AI ในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานของจีนพื่อปลูกฝังความคิดสร้างสรรค์ ความสนใจทางวิทยาศาสตร์ และทักษะดิจิตัลในหมู่เยาวชน
ต่อมา ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2025 กระทรวงศึกษาธิการของจีนได้ออกแนวปฏิบัติระดับชาติฉบับใหม่เรียกร้องให้มีการปฏิรูป “การศึกษา AI+” ครั้งใหญ่ โดยมุ่งเป้าไปที่การปลูกฝังการคิดเชิงวิพากษ์ ความคล่องแคล่วทางดิจิตัล และทักษะการใช้งานจริงในทุกระดับการศึกษา
โดยปีการศึกษาใหม่ของจีนที่เริ่มต้นในเดือนกันยายน 2025 อาจถือเป็นการ “คิกออฟ” AI ในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานของจีนอย่างจริงจัง กล่าวคือ สถาบันการศึกษาของจีนได้ริเริ่มโครงการส่งเสริมความรู้ด้านปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีขั้นสูงในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาทั่วประเทศอย่างถ้วนหน้า
ยกตัวอย่างเช่น ในกรุงปักกิ่ง โรงเรียนทุกแห่งต้องจัดหลักสูตร AI ขั้นพื้นฐานอย่างน้อย 8 ชั่วโมงเรียนต่อปีการศึกษา ขณะที่นครหังโจว เมืองเอกของมณฑลเจ้อเจียง ทางซีกตะวันออกของจีน มีหลักสูตรที่เข้มข้นและครอบคลุมมากขึ้น โดยกำหนดให้ชั้นเรียน AI เป็นวิชาภาคบังคับในโรงเรียน และมีการเรียนการสอนอย่างน้อย 10 ชั่วโมงต่อปีในทุกระดับชั้นตั้งแต่ระดับประถมศึกษาไปจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
ทั้งนี้ หลักสูตรได้รับการออกแบบให้มีความยืดหยุ่น อาทิ การนำเสนอบทเรียนให้ครอบคลุมภายในหนึ่งสัปดาห์ หรือบูรณาการเนื้อหา AI เข้ากับวิชาอื่น เช่น วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ และสอดคล้องกับพัฒนาการของนักเรียน โดยเริ่มจากกิจกรรมภาคปฏิบัติสำหรับเด็กเล็ก และพัฒนาไปสู่การทำความเข้าใจหลักการสำคัญสำหรับนักเรียนรุ่นโต
ในระดับมหาวิทยาลัย นับแต่ต้นปี 2025 สถาบันการศึกษาชั้นนำได้ประกาศแผนการเพิ่มจำนวนนักศึกษาระดับปริญญาตรี เพื่อให้ความสำคัญกับ “ความต้องการเชิงยุทธศาสตร์ระดับชาติ” และพัฒนาบุคลากรที่มีความสามารถในด้าน AI
ยกตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัยปักกิ่ง และ มหาวิทยาลัยเหรินหมินประกาศเพิ่มโควต้าจำนวนนักศึกษาระดับปริญญาตรีอีกแห่งละ 100-150 คนในปี 2025 โดยมุ่งเน้นไปที่สาขาที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ระดับชาติ สาขาวิชาพื้นฐาน และสาขาเชื่อมโยงใหม่ที่มีศักยภาพสูงซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ วิศวกรรมศาสตร์ และการแพทย์คลินิก
ในทำนองเดียวกัน มหาวิทยาลัยเจียวทงแห่งเซี่ยงไฮ้ก็วางแผนจะเพิ่มโควต้าอีก 150 ตำแหน่ง โดยมุ่งเน้นที่ “เทคโนโลยีล้ำสมัย” และอุตสาหกรรมเกิดใหม่ “ที่จำเป็นเร่งด่วน” ในด้าน AI วงจรรวม ชีวการแพทย์ การดูแลสุขภาพ และพลังงานใหม่
และหากอ้างอิงตาม MIT Technology Review ที่ตรวจสอบกลยุทธ์ด้าน AI ของมหาวิทยาลัยชั้นนำจำนวนเกือบ 50 แห่งของจีน เช่น มหาวิทยาลัยชิงฮวา (ปักกิ่ง) หนานจิง และฟู่ตั้น (เซี่ยงไฮ้) และพบว่าเกือบทุกแห่งได้เพิ่มหลักสูตรการศึกษาทั่วไปด้าน AI แบบสหวิทยาการ หลักสูตรปริญญาที่เกี่ยวข้องกับ AI และโมดูลความรู้ด้าน AI ในปี 2024
ติดตามต่อตอนหน้าครับ ...
คอลัมน์มังกรกระพือปีก โดย...ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4130